News online

กลับไปยังหน้าหลักเพื่อสนทนา C-Box ดู TV และฟังวิทยุ ได้ที่

วันเสาร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

รู้ทันศัตรู (3)

รู้ทันศัตรู (3)

โดย พอน ตาไว



การรู้ทันศัตรู ในแบบ “รู้เขา รู้เรา” นั้น เป็นหลักการที่คู่สงครามต้องศึกษาเรียนรู้มาตั้งแต่อดีต เพราะต่างรู้ว่าชัยชนะของตนขึ้นอยู่กับการได้ข้อมูลและความจริงของฝ่ายตรงข้ามมากน้อยเท่าใด ก่อนจะนำข้อมูลที่ได้มา นำไปสู่กระบวนการศึกษา วิเคราะห์ ประเมินสถานการณ์ เพื่อกำหนดแนวทางยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี และกลยุทธ์ที่จะสู้รบเพื่อชัยชนะอย่างไร?
โดยทั่วไปเรามักจะคิดถึงแต่การรู้เขาทางด้านแนวทาง แผนการ ยุทธศาสตร์ยุทธวิธีของฝ่ายตรงข้าม มักจะแสวงหาข้อมูลทางกายภาพ เช่น กำลังพล ผู้บัญชาการ เสนาธิการ แผนการรบ อาวุธยุทโธปกรณ์ ประสิทธิภาพทำลายล้าง การวางกำลัง ภูมิประเทศ ดินฟ้าอากาศ อุณหภูมิ สภาพชีวิตประจำวันของประชาชน สิ่งปลูกสร้าง การสื่อสาร การข่าวของฝ่ายศัตรู การสนับสนุนของหน่วยข้างเคียง จำนวนกำลังพล กำลังอาวุธ เสบียง พาหนะ การเคลื่อนที่ อุปกรณ์ช่วยรบ ฯลฯ ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้ มีการพัฒนาเปลี่ยนแปลง และเป็นสิ่งปกปิดซ่อนเร้นปิดลับของแต่ละฝ่าย และจำเป็นต้องแสวงหา ศึกษา ค้นคว้า สืบข่าว สอดแนมและจารกรรมให้รู้เขาอย่างเท่าทันอยู่เสมอ

ในการต่อสู้ทางชนชั้นนั้น ทั้งสองฝ่ายต่างกำหนดยุทธศาสตร์ของตน และมักกำหนดไปในทิศทางตรงข้ามกัน กล่าวคือ ถ้าฝ่ายศัตรูกำหนดในยุทธศาสตร์ขั้นรุก ฝ่ายประชาชนจะเป็นยุทธศาสตร์ขั้นรับ

อย่างไรก็ตามสำหรับยุทธศาสตร์ของฝ่ายประชาชนในขั้นต้นนี้ อาจเรียกว่าเป็น “ยุทธศาสตร์ขั้นหาพวก” “ยุทธศาสตร์สะสมกำลังสร้างแนวร่วม” หรือ “ยุทธศาสตร์ขั้นปลุกระดมประชาชนเรือนแสนเรือนล้าน” ก็ตาม ยุทธศาสตร์ใหญ่ของศัตรูก็ยังคงอยู่ในฐานะรุกไล่ได้เปรียบ
แม้ศัตรูจะตกเป็นฝ่ายรับทางการเมืองในช่วงการเลือกตั้งและหลังเลือกตั้งเมื่อวันที่3 กรกฎาคม 2554 ก็ตาม แต่ฝ่ายศัตรูก็ยังไม่ถึงกับพ่ายแพ้อย่างราบคาบ เพราะกลไกทางตุลาการ รัฐสภา สื่อมวลชน นักวิชาการ และทหารยังคงอยู่ในการควบคุมของชนชั้นศักดินาอย่างครบถ้วน และพร้อมใช้ปฏิบัติการทางยุทธวิธี ในการรุกตีฐานทางการเมืองของฝ่ายประชาชนได้ทันทีที่พบจังหวะรุก

ดังนั้น ท่ามกลางสงครามทางชนชั้น ฝ่ายศัตรูนอกจากจะใช้ “หูทิพย์ ตาทิพย์” หรือเครื่องมือสื่อสารที่ทันสมัย มีศักยภาพสูงในฐานะเป็นอุปกรณ์หนัก (ฮาร์ดแวร์-Hardware) แล้ว ยังมีอีกด้านหนึ่งที่ฝ่ายศัตรูประชาชนทำมาตลอดคือ การใช้ “โปรแกรมความคิด” ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็น “Software ทางความคิด” หรือสงครามจิตวิทยาที่มีแบบแผนมาจากอเมริกา ที่มุ่งเอาชนะประชาชนด้วยการยึดกุมรูปการจิตสำนึก โดยใช้ระบบเนื้อหาสาระที่สร้างขึ้นอย่างเป็นระบบและมุ่งประสงค์ต่อผล คือ การเข้ายึดกุมรูปการจิตสำนึกของประชาชน
ฝ่ายศัตรูได้กระทำการประดิษฐ์ระบบคิดอย่างเอาจริงเอาจัง มีบทเรียน เทคนิค และประสบการณ์ในการวางเนื้อหาที่เป็นระบบ

ปัจจุบัน อาจกล่าวได้ว่า “ศัตรูเข้าโจมตีเพื่อเอาชนะรูปการจิตสำนึกของฝ่ายประชาชนทุกวันเวลา” ทำให้ประชาชนยังคงยอมจำนนต่อระบอบราชาธิปไตยนี้อย่างยาวนานจนถึงปัจจุบัน ทำให้ฝ่ายประชาชนตกเป็นฝ่ายรับ หรือเป็นฝ่ายที่ยังด้อยพลังทางความคิดจิตสำนึกที่จะเอาชนะศัตรูอยู่นั่นเอง

ดังนั้น นักปฏิวัติ นอกจากจะรู้เท่าทันวัสดุอุปกรณ์ที่ศัตรูใช้เป็นเครื่องมือกับประชาชนแล้ว ยังจำเป็นต้องรู้การวางระบบคิดที่ศัตรูกระทำต่อประชาชน หรือระบบ Software ความคิดที่ศัตรูกระทำต่อระบบคิดของประชาชนอีกด้วย เพราะการยึดกุมสมองของประชาชนให้หมอบราบคาบแก้วถือเป็นขั้นต้นที่จะทำให้ประชาชนตกเป็นเชลย ยอมจำนนอยู่ในระบอบราชาธิปไตยทั้งกายและใจตามที่ศัตรูต้องการทุกประการ

การที่ศัตรูกระทำต่อนักปฏิวัติให้กลายมาเป็นนักปฏิรูป หรือเป็นนักสังคมสงเคราะห์นั้น ก็ล้วนเป็นผลมาจากการติดตั้งระบบคิดของศัตรูให้เกิดความรู้ความเข้าใจที่ผิดพลาด และมีทัศนคติที่หลงรักบูชา เทิดทูนศัตรู

ดังนั้นแล้ว ในที่นี้จึงทำการวิเคราะห์โปรแกรมระบบคิด โดยจำแนก “เนื้อหาสาระ” “กระบวนการ” และ “ผลลัพธ์” ไว้ดังนี้

1. เนื้อหาสาระ
โดยทั่วไป มนุษย์เราจะดำรงชีวิต พัฒนาและวิวัฒนาการการได้ ต้องอาศัยคุณสมบัติของสาระที่เป็นแก่นสาร 3 ประการ อันประกอบด้วย “ความจริง ความดี และความงาม” ซึ่ง “ความจริง ความดี และความงาม” ได้ถูกประทับไว้ด้วย “ตราแห่งชนชั้น” ที่แต่ละชนชั้นเป็นทั้ง “ผู้มองและผู้ถูกมอง” เสมอ ดังนั้นเมื่อมองจากจุดยืนของชนชั้นกรรมาชีพจึงเห็นได้ว่า “ความจริง ความดี ความงามของชนชั้นศักดินา จึงไม่จริง ไม่ดี และไม่งามในสายตาของชนชั้นกรรมาชีพ” และ “ความจริง” จึงเป็น “ความเท็จ” แต่ “ความเท็จ ความเลว ความอัปลักษณ์” ของชนชั้นศักดินานั้น ทำไมกลับมีผลดีต่อการรักษาความมั่นคงทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรมของชนชั้นศักดินาไทยมานานนับเกือบพันปี

ชนชั้นศักดินาไทย ได้ส่งความเท็จลงสู่สังคมอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ได้แก่ ความเท็จเรื่องที่มาของชนชั้นนี้ ว่ามาจากเทพเทวดาหรือโพธิสัตว์ผู้จะเป็นพระพุทธเจ้ามาเกิดบ้าง ว่าบุญกรรมที่มีมากมายส่งมาเกิดบ้าง ว่ามาเกิดเพราะเมตตาบารมีของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้มาโปรดมนุษย์บ้าง—
เนื้อหาสาระเหล่านี้จึงเป็นข้อมูลปลอมหรือความจริงปลอมที่ใช้กำหนดระบบคิดคนในสังกัด ซึ่งชนชั้นศักดินาได้มีบุคคลากรในการแต่งเรื่อง การอธิบาย การบันทึกและการเผยแพร่ โดยปัญญาชนของตน ซึ่งปัญญาชนเหล่านี้ได้รับการเลี้ยงดูจากราชสำนัก มียศถาบรรดาศักดิ์ ฐานะตำแหน่งต่างๆ เช่น อำมาตย์ ปุโรหิต มุขมนตรี โหราจารย์ อาลักษณ์ สนองพระโอษฐ์ฯลฯ
นอกจากนี้ ปัญาชนศักดินายังแต่งเติมและลดทอน “ความจริง” ลงให้เป็น “เท็จ” ในส่วนของการบันทึกประวัติศาสตร์อีกมาก โดยมุ่งบิดเบือนให้ “ข้อมูล” หรือ “สาระ” นั้น ไปเสริม “ความดี” และ “ความงาม” ของชนชั้นศักดินา เช่น เรื่องการสร้างอาณาจักร การรบ การพัฒนา ฯลฯ ว่าเป็นฝีมือการนำของกษัตริย์ และครอบครัวศักดินาเท่านั้น ครอบครัวของชนชั้นอื่นไม่มีส่วนร่วม หรือไม่มีความสำคัญเลย อันเป็นการบิดเบือนโดยแสดงให้เห็นว่า สังคมอยู่ร่มเย็นเป็นสุขได้เพราะศักดินา ซึ่งอันที่จริงแล้ว เขาอยู่ได้เพราะการกดขี่ขูดรีดประชาชน

ส่วนบาง “ข้อมูล” ถูกสร้างขึ้นเพื่อกลบเกลื่อนความ“ความเลว” และ “ความอัปลักษณ์” เช่น การแย่งชิงราชสมบัติ การฆ่ากันเอง การปล้นอำนาจจากพระเจ้าตากสิน และวิธีการประหารชีวิตพระเจ้าตากด้วยการตัดศีรษะ โดยการสร้าง “ข้อมูล” ขึ้นว่า “พระเจ้าตากมีสติฟั่นเฟือนและถูกสำเร็จโทษด้วยการทุบตีด้วยท่อนจันทน์” ซึ่งถ้าหากเรามีสามัญสำนึกเพียงเล็กน้อย ตั้งคำถามดูว่าถ้าพ่อแม่เราเลี้ยงดูเรามาแล้วเป็นบ้า เราจะทำอย่างไร? เราก็คงไม่เอาพ่อแม่เราไปฆ่าหรอกนะ อย่างดีก็แค่เอาไปกักขัง แต่นี่เป็นถึงพระมหากษัตริย์ที่กอบกู้เอกราช ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ เขาจึงได้แต่งประวัติศาสตร์ใหม่ว่าพระยาสรรค์ทำการรัฐประหาร เขากลับมาจากเขมรเพื่อทำการปราบ แบบจะเอาความดีความชอบ แต่ก็มีผู้แย้งว่าทำไมถึงฆ่าพระยาพิชัยดาบหักด้วยละทั้งที่อยู่ถึงอุตรดิตถ์ และฆ่าลูกหลานพระเจ้าตากอีกในรัชกาลต่อมาจนหมด เรียกว่ายิ่งแก้ยิ่งติดแหว่าอย่างนั้นเถอะ

และถ้าบางข้อมูลศักดินาเกิดอับจนปัญญาจริงๆ ก็จะทำเพิกเฉยเสียหรือมิฉะนั้นก็สร้างหลักฐานเท็จหลาย ๆ อย่างให้สับสน เช่น ข้อมูลความร่ำรวยมั่งคั่งของกษัตริย์ การใช้ทรัพย์ของประชาชนอย่างฟุ่มเฟือย การมีที่ดินมาก การค้ายาเสพติด การท่องเที่ยวฟุ่มเฟือย การทำธุรกิจส่วนตัวทั้งในและนอกประเทศ การฆ่าคน การเอาเปรียบมนุษย์ การเสพสุขเสเพล เหลวแหลก วิตถาร เมามัวในกาม ฯลฯ ข้อมูลที่เป็นจริงและบิดเบือนยากเหล่านี้ ชนชั้นศักดินาก็จะเพิกเฉยเสียไม่กล่าวถึงหรือไม่โต้แย้งใดๆ

สำหรับ “ความดี” และ “ความงาม” ของชนชั้นศักดินาไทยที่พบในประวัติศาสตร์ยุคใกล้จนถึงปัจจุบัน พบว่า “ไม่มีความดีและความงามเอาเสียเลย” ชนชั้นศักดินาได้สร้าง “ความดี-ความงามเทียม” ด้วยวิธีการทางศิลปะ เช่น เพลง กวี ละคร โขน ภาพถ่าย ภาพวาด ซุ้มประตู กรอบรูป แสง สี เสียง ภาพยนตร์ การ์ตูน นิทาน รวมทั้งการเสแสร้งนับถือศาสนา ดังนั้น “ความดี-ความงาม” จึงไม่มีความเป็นจริงรองรับ มีเพียงการห่อหุ้มไว้ด้วยรูปแบบทางศิลปะเท่านั้น อุปมาเหมือนอุจจาระที่ถูกห่อด้วยผ้าไหมทองคำ


2. กระบวนการติดตั้งระบบคิดของชนชั้นศักดินา

หลังจากได้ผลิตเนื้อหาสาระ และออกแบบระบบคิดต่างๆ มาแล้ว ศักดินาก็ได้ออกแบบเทคนิควิธีการที่จะนำไปติดตั้งในสมองของสมุนและประชาชน เพื่อให้ยอมรับว่าชนชั้นไพร่ทาสเป็นชนชั้นต่ำที่ชั่วช้าสารเลว ส่วนชนชั้นศักดินา ขุนนาง ขุนศึก และอำมาตย์เป็นคนชั้นสูงและดีงาม โดยชนชั้นศักดินามีเทคนิควิธีการและกระบวนการติดตั้ง หรือลงโปรแกรมระบบคิดในสมองมนุษย์ด้วยวิธีการต่างๆ ดังนี้

2.1 การสาบานตนและการปฏิญาณตน เป็นวิธีที่ชนชั้นศักดินากำหนดถ้อยคำสาบาน ปฏิญาณตนไว้แล้ว ก็ส่งให้ข้าราชบริพาร ขุนศึก ขุนนาง มหาดเล็ก กล่าวคำสาบานว่าจะรักเคารพเทิดทูนบูชา เชื่อฟังตลอดไปจนชั่วชีวิต เป็นขบวนการติดตั้งโปรแกรมการยอมรับสถานะตนเองว่าต้องรับใช้ เป็นผู้น้อยต่ำต้อย ส่วนกษัตริย์เป็นผู้มีฐานะสูงส่งและศักดิ์สิทธิ์ที่ทุกคนต้องกราบไหว้บูชา

ในสมัยก่อน การสาบานปฏิญาณตนจะทำเฉพาะในหมู่ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ และขุนศึกที่อยู่ใกล้ชิด โดยกระทำก่อนเข้ารับตำแหน่ง และทำซ้ำเป็นรายเดือน รายปี กษัตริย์เวียดนามให้ขุนนางและขุนศึกดื่มน้ำสาบานตนทุกครั้งก่อนจะเข้าเฝ้าประชุมรับคำสั่งในท้องพระโรง ปัจจุบันในประเทศไทยได้มีการขยายประเภทที่ต้องปฏิญาณสาบานตน นอกจากทหาร ตำรวจก็ขยายไปยังข้าราชการฝ่ายตุลาการ อัยการ และข้าราชการพลเรือนชั้นผู้น้อยที่เข้าบรรจุใหม่อีกด้วย ส่วนทหารบางหน่วยกำหนดให้นายร้อยนายสิบและพลทหารเข้าแถวสาบานปฏิญาณตนทั้งเช้าและเย็น

2.2 การสาปแช่ง เป็นวิธีเก่าแก่ที่สืบมาถึงปัจจุบัน สำหรับนายทหารนายตำรวจ นอกจากจะต้องปฏิญาณตนสาบานตน แล้วยังต้องดื่มน้ำสาบานที่ผ่านพิธีสาปแช่งด้วยถ้อยคำประพันธ์ที่หนักแน่นหนักหน่วง ถ้าไม่เชื่อฟัง ไม่ซาบซึ้ง ทรยศหักหลัง ไม่จงรักภักดี จะต้องตายโหงตายห่า มีอันเป็นไปต่างๆ นานา ทั้งตนเอง ครอบครัว ญาติและโคตรตระกูล เพราะมีฝูงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ภูตผีปีศาจ อสูรกาย เทวดา เจ้าป่าเจ้าเขาทั่วจักรวาล จะตามเอาชีวิต แม้ตายแล้วก็จะถูกตามจับมาทรมาน ฟื้นขึ้นมาก็จะจับเผาจับฆ่าซ้ำไปซ้ำมา ในพิธีจะมีการร่ายคาถาอาคมและทำเสียงก้องคำรามจากพราหมณ์ผู้ทำพิธี มีการเอาอาวุธหอกดาบปืนจุ่มไปในน้ำด้วย ผู้เข้าพิธีสาบานตนและถูกสาปแช่งอาฆาตนี้จะเดินไปดื่มน้ำสาบานทีละคนท่ามกลางวงล้อมสายตาของผู้อยู่ในพิธี เมื่อตักน้ำเตรียมดื่มก็จะกล่าวคำปฏิญาณสาบานตนและขอให้ตนมีอันเป็นไปถ้าผิดคำสาบาน ในขณะดื่มน้ำก็จะเงยหน้าในมุมมองที่สบสายตาไปยังรูปปั้นเทพศักดิ์สิทธ์ที่ตั้งไว้ในระดับสูง ให้ดูเหมือนเทพหรือเทวรูปนั้นรับรู้และจ้องมองตลอดเวลา ผู้นั้นจะคืนคำสาบานไม่ได้พิธีสาปแช่งนี้ จะมีกษัตริย์และราชวงศ์ประทับอยู่ในขณะทำพิธีด้วย

2.3 การร้องเพลงสดุดีและการยืนตรงเคารพเพลงสรรเสริญพระบารมี เป็นการกำาหนดพฤติกรรมที่ต้องปฏิบัติ เพื่อฟังและยืนยันถึงความดีงามในสถานที่ชมมหรสพ โรงภาพยนตร์ แม้แต่ชมโทรทัศน์ในบ้านเรือน ณ ที่ใดก็ตามที่มีการชมมหรสพการบันเทิงจนมีความสุขสนุกสนานเคลิบเคลิ้มใจไปแล้วก็ควรมีสติกลับมาสำนึกถึงบุญคุณศักดินาด้วยความเคารพในท่ายืนตรง

2.4 การจัดกิจกรรม เช่น วันเกิด วันตาย วันสมรส วันรับตำแหน่ง วันเคารพรูปปั้นตามสุสานของคนในครอบครัวของศักดินาที่ตายไปแล้ว จะมีการจัดงานอย่างต่อเนื่อง บางงานเป็นงานใหญ่ จัดทั่วประเทศ มีการจุดพลุนับแสนลูก อึกทึกครึกโครมอลังการน่าเกรงขามและสร้างกระแสความนิยมเมื่อใครพบเห็น การจัดกิจกรรมถือเป็นวิธีการลงโปรแกรมให้คนเห็นความสำคัญของคนในชนชั้นศักดินา นอกจากนี้ยังมีการกำหนดกิจกรรมให้ประชาชนมีส่วนร่วม เพื่อให้ซึมซับการยอมรับศักดินาโดยไม่รู้ตัวอีกด้วย เช่น การจัดประกวดตราสัญลักษณ์ การวาดภาพ การหาคนในภาพถ่าย การสวมเสื้อสีเหลือง ชมพู ฟ้า หรือดำ การห้อยเหรียญ ติดเหรียญ สวมกำไลมือ ซื้อ สคส. ฯลฯ

2.5 การใช้ภาพถ่ายเพื่อให้ดูใกล้ชิดประชาชน ให้คนเห็นในทุกสถานที่ ทั้งในบ้าน นอกบ้าน ในเมือง ในชนบท ในสถานที่ราชการและเอกชน เช่น การทำป้ายคัทเอาท์ขนาดใหญ่ริมถนน ทำซุ้มประตู เขียนคำขวัญ คำสดุดี ปฏิทิน ฯลฯ การเปลี่ยนชื่อวัดอาคาร สถานที่ราชการ ถนน สะพาน ป่า อำเภอ ดอกไม้ แมลง ฯลฯ ให้เป็นชื่อคนในครอบครัวกษัตริย์

2.6 การสอนตรงแก่เด็ก เยาวชน และประชาชนทั่วไป โดยให้สถาบันการศึกษา ครู อาจารย์ ลงโปรแกรมความคิดด้วยการให้สอนเรื่องราวการกู้ชาติที่ผิดพลาด ให้เห็นแต่ความเก่งกล้าสามารถของกษัตริย์ ให้นักเรียนสำนึกบุญคุณกษัตริย์ที่ให้คนไทยมีแผ่นดินอาศัย..

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น