News online

กลับไปยังหน้าหลักเพื่อสนทนา C-Box ดู TV และฟังวิทยุ ได้ที่

วันพุธที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

"วรเจตน์" ถูกชกถึงในมธ. "อธิการฯสมคิด" ประณามคนลงมือ "ธีระ" ชี้ "พวกคุณคิดผิด หากคิดว่าเรากลัว"

ผู้สื่อข่าว "มติชนออนไลน์" รายงานว่า นายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สมาชิก "กลุ่มนิติราษฎร์" ถูกคนร้ายชก ที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ โดยคนร้ายมาดักรอทำร้ายร่างกาย ที่บริเวณ ลานจอดรถของคณะนิติศาสตร์ ทั้งนี้ พ.ต.ท.เอกรัตน์ เปาอินทร์ รอง ผกก.ป.สน.ชนะสงคราม ได้เดินทางไปถึงที่เกิดเหตุ เพื่อตรวจสอบและดูภาพจากกล้องวงจรปิด

ขอบคุณภาพจากเฟซบุ๊ก Siri Wu

นายธนาพล อิ๋วสกุล บก.ฟ้าเดียวกัน ผู้อยู่ในเหตุการณ์ ระบุว่า ทราบว่ามีคนร้ายจำนวน 2 คน ได้ขี่รถมอร์เตอร์ไซต์ มาดักซุ่มรอทำร้ายร่างกายนายวรเจตน์ หลายวันแล้ว เมื่อสบโอกาสจึงรัวหมัดชกนายวรเจตน์ หลายครั้ง จนกระทั่งเลือดออก แว่นแตก แล้วขึ้นรถมอร์เตอร์ไซต์หลบหนีไปทันที 

ทางด้านนายวรเจตน์ ได้ขับรถไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลธนบุรีทันที

โดยในทวิตเตอร์ที่ใช้ชื่อว่า บก.ลายจุด‏(@nuling) ของนายสมบัติ บุญงามอนงค์ แกนนอนกลุ่มวันอาทิตย์สีแดง ได้ทวีตให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า

"คนร้าย 2 คนขี่มอเตอร์ไซค์ทะเบียน มธ 684 มาดักและต่อย อ.วรเจตน์ นักวิชาการนิติราษฏร์"

พล.ต.ท.วินัย ทองสอง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) เปิดเผยว่าได้รับรายงานเหตุคนร้ายรุมทำร้ายนายวรเจตน์แล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลธนบุรีเบื้องต้นทราบว่าคนร้ายเป็นชาย2คน ใช้รถจักรยานยนต์ก่อเหตุแล้วหลบหนี สั่งให้ชุดสืบสวนของกองบังคับการสืบสวนสอบสอน กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บก.สส.บช.น.) และกองบังคับการตำรวจนครบาล 1 (บก.น.1) ตรวจสอบกล้องวงจรปิดบริเวณที่เกิดเหตุแล้ว เพื่อติดตามคนร้ายที่ก่อเหตุ ส่วนสาเหตุยังไม่สามารถสันนิษฐานได้ ขอตรวจสอบจากพยานหลักฐานก่อน

เวลา 16.00 น. วันเดียวกัน นายวรเจตน์ ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าว "ข่าวสด" ทางโทรศัพท์ ว่า ถูกทำร้ายร่างกายจริง ขณะยืนคุยอยู่กับอาจารย์ของมหาวิทยาลัยมหิดลอีก 1 คน ที่ลานจอดรถ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ จู่ๆ มีคนร้ายเป็นชาย 2 คน ตรงเข้ามาจากด้านหลัง และเข้ามาชกบริเวณใบหน้าตนจนล้มลง และหลบหนีไปจากที่เกิดเหตุอย่างรวดเร็ว ทำให้จำรูปพรรณสัณฐานคนร้ายไม่ได้ แต่คาดว่าอาจารย์อีกคนน่าจะพอจำได้

"ขณะนี้กำลังเดินทางไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลธนบุรี และได้แจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจไปแล้ว โดยเจ้าหน้าที่ได้เชิญไปสอบปากคำที่โรงพัก คาดว่าน่าจะเป็น สน.ชนะสงคราม เพราะอยู่ในพื้นที่ที่เกิดเหตุ" นายวรเจตน์กล่าว

ส่วนเว็บไซต์ประชาไทรายงานว่า ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ขณะนักวิชาการคณะนิติราษฎร์ถูกทำร้ายร่างกายเล่าว่า เห็นคนร้ายยืนอยู่บริเวณร้านกาแฟนานแล้ว จึงเข้าใจว่ามาร่วมประชุมกับพวกตนเอง จนเมื่อตนเองเดินลงจากอาคารคณะนิติศาสตร์ มายืนคุยยกับนายวรเจตน์บริเวณลานจอดรถ ชายคนดังกล่าวเดินเข้ามาทางด้านหลัง โดยตนเข้าใจว่าจะเดินมาทักทายนายวรเจตน์ แต่เมื่อรู้ตัวอีกที ชายคนดังกล่าวก็ถึงตัวและเข้ามาทำร้ายนายวรเจตน์แล้ว โดยตนเองพยายามกันชายคนดังกล่าว แต่ก็ปรากฏว่ามีชายอีกคนเดินลงจากมอเตอร์ไซค์ในบริเวณใกล้ๆ กันมาทำร้ายด้วย

ทั้งนี้ ขณะเข้ามาทำร้าย ชายคนดังกล่าวพูดขึ้นว่า มารอแต่เช้าแล้ว และเมื่อตนพูดว่าอะไรเนี่ย ชายคนดังกล่าวก็บอกเพียงว่า "ไปดูวิดีโอ (วงจรปิด) ก็รู้ว่ากูคือใคร"


ผู้เห็นเหตุการณ์เล่าว่า ชายคนดังกล่าวใส่เสื้อลายคล้ายลายสกอตต์ สูงประมาณ 170 กว่าซม. โดยขณะเดินเหตุ ได้พยายามตะโกนเรียกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย แต่ไม่มี จนท.ในบริเวณดังกล่าว อย่างไรก็ตาม มีนักศึกษาที่อยู่ใต้ถุนตึกได้ยิน จึงเดินมาดู ชายสองคนดังกล่าวจึงขึ้นมอเตอร์ไซค์หลบหนีไป

นายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ เดินทางกลับจากโรงพยาบาลมาให้การกับตำรวจ

ล่าสุด นายสมคิด เลิศไพฑูรย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ขึ้นสเตตัสในเฟซบุ๊กส่วนตัวมีเนื้อหาว่า "ขอประณามคนที่ทำร้ายอ.วรเจตน์" ก่อนจะระบุว่า "กล้องจับภาพคนร้ายได้ทั้ง 2 คน" และ "ได้ชื่อ ที่อยู่คนร้ายคนแรกแล้ว"

นอกจากนี้ นายสมคิดยังโพสต์เพิ่มเติมว่า "ผมขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายใช้เหตุและผลในการพูดคุยเพื่อแก้ปัญหาของประเทศและขอประณามความรุนแรงทุกประเภทที่กระทำต่อคนธรรมศาสตร์และคนไทยด้วยกัน"

"มหาวิทยาลัยมีมาตรการในการรักษาความปลอดภัยดีพอสมควร เช่นการจัดเวรยาม การมีบัตรเข้าออก การมี CCTV ทั้งมหาวิทยาลัย การประสานงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ และจะได้เพิ่มมาตรการให้เพิ่มขึ้นอีก"

"มือปราบหูดำ" พล.ต.ต. วิชัย สังข์ประไพ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาลไปดูที่เกิดเหตุ

ขณะที่นายธีระ สุธีวรางกูร นักวิชาการคณะนิติราษฎร์อีกรายหนึ่ง โพสต์ในเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า "เบื้องต้น เท่าที่คุยกับวรเจตน์ เห็นว่าไม่เป็นอะไรมาก แต่หน้าตาบวม เจ้าหน้าที่จำหน้าคนร้ายได้ รายละเอียด คงต้องรอการแถลงจากวรเจตน์อีกครั้ง"

นอกจากนี้ นายธีระยังระบุด้วยว่า "บอกได้เลยว่า พวกคุณคิดผิด หากคิดว่าเรากลัว" และ "ขอยืนยัน เราจะสู้ด้วยเหตุผลต่อไป แม้พวกคุณจะใช้กำลัง"

ห้องคณบดี คณะนิติศาสตร์ถูกใช้เป็นที่สอบสวนคดี


ที่มา matichon

"สมศักดิ์ เจียมฯ" เขียนถึง "ณัฐวุฒิ-นปช.-พท." ถ้าไม่ทำในสิ่งควรทำ แล้ว "จะเลือกกันไปทำไมครับ?"

(ที่มา เฟซบุ๊กส่วนตัว สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล)

นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้เขียนแสดงความเห็นผ่านเฟซบุ๊ก วิพากษ์วิจารณ์ความคับแคบของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) และการทำงานของรมว.ยุติธรรม ในรัฐบาลเพื่อไทย มีเนื้อหาดังนี้

----------

วันก่อนคุณณัฐวุฒิ พูดที่โบนันซ่า ว่า นปช.(เสื้อแดง) ไมใช่สู้เพื่อคนเสื้อแดงเท่านั้น แต่สู้เพื่อคนทุกสีเสื้อ เพื่อประชาชนทุกคน

ก็เรียกว่าพูดดี พูดถูกล่ะครับ เหมือนที่ก่อนหน้านี้ หลายเดือนก่อน คุณจตุพรประกาศว่า เป้าหมายคือสู้เพื่อความยุติธรรมนั่นแหละ

ปัญหาคือ การกระทำของ นปช. และแม้แต่คุณณัฐวุฒิหรือจตุพรเอง บ่อยครั้ง มันไม่ match (บรรจบ ประสาน) กับการพูดดีแบบนี้น่ะครับ

เอากรณี อากง ก็ได้

อากง ไม่ใช่คนเสื้อแดง (บางคนว่า เป็นเสื้อเหลืองด้วยซ้ำ แต่จริงๆ ผมก็ว่าไม่ใช่)

การตัดสินอากงนั้น แม้แต่รอยัลลิสต์หลายคนยัง "ช็อค" ยังรู้สึกว่าเป็นอะไรที่ไม่ชอบมาพากลมากๆ

แต่ นปช. ใช้เวลาถึงเกือบ 1 เดือน จึงค่อย "อุบอิบๆ" เอ่ยกรณีอากงขึ้นมา แบบเสียไม่ได้

.........

ปัญหา นปช. แต่ไหนแต่ไร คือ ความคับแคบ

อย่างผมเคยยกตัวอย่างเรียกร้องว่า คุณสมยศ นี่ นปช. น่าจะเชิญไปขึ้นเวที นปช. ก็ไม่เคยได้ขึ้น อะไรแบบนั้น

แต่ที่สำคัญและกว้างกว่าตัวอย่างสมยศคือ นปช. ตลอดมา "คับแคบ" ในแง่เป้าหมายการต่อสู้ คือ อะไรที่ไม่ใช่เกี่ยวกับ ทักษิณ หรือ เพื่อไทย นปช. ก็ไม่ยอมแตะต้องจริงๆ

ไม่อยากยกซ้ำว่า แม้แต่พวกตัวเอง ที่ตอนนี้ติดคุกครึ่งร้อย นปช. ทำอะไรมากกว่านี้ได้แน่ๆ แต่ก็ไม่ทำ

เพราะ "ยุทธศาสตร์ปรองดอง" ใหญ่ ของคุณทักษิณ-เพื่อไทย นั่นแหละ

เปรม - นปช. เคยด่าสาดเสียเทเสีย ก็เงียบได้

ประยุทธ์ - นปช. เคยด่าสาดเสียเทเสีย ก็เงียบได้

คือยกตัวอย่างได้ไม่รู้จักจบจักสิ้นหรอกครับ ถ้าจะยกมาจริงๆ

...........

ผมชอบคุณณัฐวุฒินะ ผมเชื่อว่าคุณณัฐวุฒิเป็นคนมีน้ำใจดี ปัญหาคือ "กรอบ" ที่คุณณัฐวุฒิ จำกัดตัวเองอยู่นั่นแหละ


ทำให้คำพูดดีๆ จิตใจดีๆ กลายเป็นเรื่อง "แก้ตัว" หรือ "ปกปิด" ให้กับยุทธศาสตร์ และการกระทำที่ไม่เข้าท่าหลายอย่างของ นปช. โดยคุณณัฐวุฒิอาจไม่ตั้งใจ


----------

กรณีสนธิได้ประกันตัว กับ นปช. และ รมต.ยุติธรรม พรรคเพื่อไทย

หรือ

"รัฐมนตรียุติธรรม มีไว้ทำไมครับ ถ้าอย่างน้อย ไม่หยิบยก (raise) ประเด็นปัญหาชัดๆใน "กระบวนการยุติธรรม" แบบนี้ ขึ้นมาแสดง "ความกังวล" (concern) ?

....................

ประเด็นสนธิได้รับการประกันตัว (หลักทรัพย์ 10 ล้าน) เป็นอะไรที่พอคาดเดาได้ไม่ยาก

ที่ผมอยากพูด โดยโยงกับประเด็น นปช.-เพื่อไทย ไม่ทำอะไรที่ทำได้

คือ ตัวอย่างนี้ ต่อให้ ไม่ต้องพูดในแง่การเมืองอะไรเลย

ก็เห็นได้ชัดว่า กระบวนการตัดสินเรื่องการให้ประกันตัวของ ระบบศาลไทย มีปัญหาแน่ๆ (จริงๆ เรื่องอื่นๆ ก็เห็นๆ กันอยู่ แม้แต่ระหว่าง คนของ นปช.เอง ที่โดนคดี 112 กับ กรณีอย่าง อากง ที่จะพูดนี้)

กรณีสนธิ การให้ประกันตัว ไม่ได้มีบอกว่า "ให้ริบพาสปอร์ต" ด้วย แสดงว่า ยังสามารถขอเดินทางออกนอกประเทศได้ (คนระดับนี้ ต่อให้ไม่มีพาสปอร์ต ก็คงหาทางหลบได้อยู่ดี) และในขณะที่ผมก็คิดว่า สนธิ คงไม่หลบไปไหน อย่างน้อย ในคดีขั้นนี้ (ไมใช่ขั้นฎีกาแล้ว) ในประวัติศาสตร์ ก็มีกรณีที่นักธุรกิจหลบหนีกันมาก่อนหน้านี้

แต่กรณีอย่าง อากง ชายแก่ที่ไม่รู้ภาษาอังกฤษ ยังไงก็ยากที่จะมีเรื่องหลบหนี (ไม่นับเรื่องภาระ หรือพันธะเรื่องภรรยา ลูกหลาน ซึ่งมากกว่ากรณีสนธิแน่)

ศาลไม่ให้ประกัน โดยอ้างว่า "เกรงจะหลบหนี"

.............

ทีนี้ อะไรคือสิ่งที่ นปช. และรัฐบาลเพื่อไทย ทำได้ แต่ไม่ทำ

สมัยที่ นปช. ยังเคลื่อนไหว "ต่อต้านอำมาตยาธิปไตย" อยู่นั้น ประเด็นหนึ่งที่ยกกันมาพูดเสมอคือเรื่อง "สองมาตรฐาน" ของ "กระบวนการยุติธรรมไทย" บางครั้ง ถึงขั้น ไปแสดงออก โดยระดมคนไปชุมนุม "กดดัน" ศาล ทั้งที่สนามหลวง และที่รัชดา ด้วยซ้ำ

ตอนนี้ โอเค ต่อให้ นปช. ไม่ต้องการทำอะไรถึงขั้นนั้นแล้ว แต่อย่างน้อย การมีท่าทีชัดเจน เรียกร้องให้มีการ "ทบทวน หรือปฏิรูป มาตรฐานในการตัดสิน เรื่อง การให้ประกันตัว" อะไรแบบนี้ ก็เป็นอะไรที่ทำได้ แต่ก็ไม่มีแนวโน้มจะทำ (อย่างมาก ที่เราได้ยินตอนนี้ เวลา คนเสื้อแดงธรรมดาๆ ของ นปช. เอง ที่อยู่ในคุกหลายสิบคน ไม่ได้ประกัน นปช. ก็จะบอกเสียงอ่อยๆว่า "เป็นเรื่องของศาล เราทำอะไรไม่ได้" - ขอให้สังเกตเปรียบเทียบกับสมัยก่อน ที่ แกนนำ โดนจับว่า นปช. พูดแบบนี้หรือ?)

ที่สำคัญกว่านั้น คือ กรณี รัฐบาล โดยเฉพาะกระทรวงยุติธรรม

เรื่องนี้ ไม่จำเป็นต้อง raise เป็นเรื่องการเมืองเลย สำหรับ รมต.ยุติธรรม

แค่แสดงความห่วงใย (concern) ว่า มีปัญหาในเรื่องนี้อยู่ และอยากเรียกร้องให้ ผู้พิพากษา ในระดับต่างๆ ได้หยิบยกประเด็นนี้ "ไปหารือกัน" อย่างจริงจัง

แน่นอน พูดแค่นี้ ก็คงหวังให้เกิดความเปลี่ยนแปลงไม่ได้

แต่อย่างน้อย เป็นการ "ให้การศึกษา" แก่สาธารณะ ว่า ระบบศาลของเรามีปัญหาจริงๆ

อันที่จริง ถ้าเป็นประเทศอารยะ ป่านนี้ ต้องมีการออกมาแสดงความกังวล จากฝ่ายบริหารแล้ว

(นี่ไม่เกี่ยวกับการ "แทรกแซง" ศาล เลยครับ ในสหรัฐ หรือในประเทศตะวันตกอื่นๆ เคยมีบ่อยไป ที่ผู้พิพากษา บางคดี ตัดสินบางอย่าง ที่ขัดกับความรู้สึกของสาธารณะ มากๆ (ผมรู้ว่า ในกรณีสหรัฐ ใช้ระบบลูกขุน แต่ศาล บางระดับ บางกรณี รวมทั้งศาลสูง ไม่ได้ใช้ และมีอำนาจในการตัดสินเองเหมือนกัน) ฝ่ายบริหาร เช่น ประธานาธิบดี หรือ นายกรัฐมนตรี หรือ รมต.ยุติธรรม ก็สามารถออกมาแสดงความเห็นว่า "เรามีปัญหา / เราไม่เห็นด้วยกับการตัดสิน" อะไรแบบนั้น ก็ได้ หรือแสดงความกังวล ในการมีปัญหาเรื่องมาตรฐานของศาล ก็ได้)

นี่เป็น "ตัวอย่าง" หนึ่ง ของการ "ไม่ทำอะไร ทั้งๆ ที่ทำได้ และควรทำ" ของ นปช. - เพื่อไทย

(ไม่อยากจะยกซ้ำนะ แต่อะไรที่มีกระแสต้านแรงๆ ถ้าเกี่ยวกับคุณทักษิณ นปช. และ เพื่อไทย ก็ยินดีจะ "เสี่ยง" ในการ raise ขึ้นมา บ่อยๆ ได้)

..............

ได้โปรดเถิดครับ ทำอะไรไม่ได้เต็มที่ หลายคน (รวมทั้งผม) ก็พร้อมจะ "เข้าใจ" ... แต่สิ่งที่ทำได้ และควรทำ ก็ควรทำครับ

ไม่งั้น จะเลือกกันไปทำไมครับ?

ที่มา matichon

วันอังคารที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

พิพากษาจำคุก 7 ปีครึ่ง “สุรชัย แซ่ด่าน” ยังเหลืออีก 2 คดี

เจ้าหน้าที่ศาล ภรรยาและนายสุรชัย ขณะที่เดินเข้าห้องพิจารณาคดีเพื่อฟังคำพิพากษา

28 ก.พ.55 ที่ห้องพิจารณาคดี  801 ศาลอาญา รัชดา เวลา 10.45 น. ผู้พิพากษา นำโดยนายชนาธิป เหมือนพะวงศ์ พร้อมองค์คณะนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษา คดีที่อัยการฟ้องนายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ (แซ่ด่าน) อายุ 69 ปี กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ใน 3 คดี  ซึ่งเป็นการปราศรัยใน 3 จุด ได้แก่ อิมพีเรียล ลาดพร้าว, อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ และ จ.อุดรธานี  ซึ่งนายสุรชัยได้ร้องขอต่อศาลให้พิจารณาพร้อมกันทั้งหมดและได้รับสารภาพใน ทุกคดีแล้ว ทั้งนี้ ในวันนี้มีผู้เข้าฟังผลการตัดสินจนเต็มห้องพิจารณาคดี

ศาลได้อ่านคำพิพากษาแต่ละคดีโดยไม่ได้อ่านทวนเนื้อหาที่โจทก์ฟ้อง ระบุเหตุผลว่า พิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีประกอบกับการสืบเสาะแล้วเห็นว่าแม้จะกระทำความผิด ขณะอายุ 68 ปี แต่จำเลยมีบทบาททางการเมืองมายาวนาน และจบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช เคยเป็นสมาชิก อบจ.นครศรีธรรมธรรม เป็นผู้มีวุฒิภาวะ อีกทั้งช่วงเกิดเหตุสังคมกำลังมีความขัดแย้งทางความคิดอย่างรุนแรง การที่จำเลยกล่าวถ้อยคำดังกล่าวยิ่งทวีความขัดแย้งให้มากขึ้น และเป็นการให้ร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์

ศาลพิพากษา ลงโทษจำคุกจำเลยใน 3 คดี คดีละ 5 ปี แต่เนื่องจากจำเลยรับสารภาพจึงลดโทษกึ่งหนึ่ง เหลือคดีละ 2 ปี 6 เดือน  ศาลระบุอีกว่า เนื่องจากจำเลยเคยต้องโทษมาแล้วหลายครั้งแต่ไม่หลาบจำ ไม่สมควรรอการลงโทษ คงเหลือโทษจำคุกทั้งสิ้น  7 ปี 6 เดือน

“ผมมีประสบการณ์การเมืองมา 40 ปี ในสถานการณ์บ้านเมืองแบบนี้จะไม่พูดได้อย่างไร และเราก็เลี่ยงที่สุดแล้ว คดีทั้งหลายที่เกิดขึ้นมาจากการพูดที่ผมได้เลี่ยงที่สุดแล้ว จะให้ทำอย่างไร” นายสุรชัยให้สัมภาษณ์พร้อมระบุด้วยว่าผลการตัดสินในวันนี้ก็ถือว่าศาลเมตตา

นายคารม พลพรกลาง ทนายความจำเลย กล่าวว่า หากอัยการไม่อุทธรณ์ก็ถือว่า 3 คดีนี้จบ แต่ยังเหลือคดีของ สน.วังทองหลางอีกที่ยังอยู่ในชั้นสอบสวน หากส่งฟ้องเมื่อไรนายสรุชัยก็เตรียมจะรับสารภาพ ส่วนอีกคดีคือ คดีของ สน.ชนะสงคราม ซึ่งจำเลยตัดสินใจสู้คดี เพราะเห็นว่ามีการตีความความผิด เกินเลยไปจากความเป็นจริง และจะมีการสืบพยานกันในวันที่ 5-8, 12-15 มิ.ย.55

ทั้งนี้ นายสุรชัยถูกจับกุมเมื่อกลางดึกวันที่ 22 ก.พ.54 และถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพจนวันพิพากษา โดยทนายได้ยื่นประกันตัวหลายครั้งแต่ศาลปฏิเสธ ขณะที่นางปราณี ด่านวัฒนานุสรณ์ ภรรยานายสุรชัยเคยให้สัมภาษณ์ว่านายสุรชัยมีปัญหาเรื่องสุขภาพ เป็นโรคประจำตัว ทั้งความดัน  เบาหวาน เส้นเลือดหัวใจอุดตัน และต่อมลูกหมากอักเสบ จึงตั้งใจจะรับสารภาพเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษ

ที่มา  prachatai