News online

กลับไปยังหน้าหลักเพื่อสนทนา C-Box ดู TV และฟังวิทยุ ได้ที่

วันเสาร์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2555

พิพากษา "สุรชัย" รับสารภาพเหลือ 2 ปี 6 เดือน รวมคดีเก่ายอดพุ่ง 10 ปี ส่วน "สมยศ" ไม่ได้ประกันอีก



พิพากษาจำคุก 5 ปี "สุรชัย แซ่ด่าน" หมิ่นเบื้องสูง รับสารภาพเหลือจำคุก 2 ปี 6 เดือน ศาลสั่งโทษเก่า 3 สำนวน รวมจำคุก 10 ปี ด้านทนายยื่นประกัน "สมยศ" ศาลยันไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม

เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจรายงานว่าเมื่อวันที่ 27 เม.ย. 55 ที่ผ่านมาศาลนัดสอบคำให้การจำเลยคดีหมิ่นเบื้องสูง อ.1177/2555 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายสุรชัย แซ่ด่าน หรือ ด่านวิวัฒนานุสรณ์ อายุ 70 ปี แกนนำกลุ่มแดงสยาม  เป็นจำเลย ในความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112

โดยคีดนี้อัยการโจทก์ยื่นฟ้องคดีเมื่อวันที่ 26 เม.ย. 55 ระบุความผิดสรุปว่า เมื่อระหว่างวันที่ 5 -  6  ก.พ. 54  เวลากลางคืนต่อเนื่องกัน จำเลยบังอาจกล่าวปราศรัยบนเวทีชั่วคราวด้วยถ้อยคำหมิ่นประมาท แสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อองค์พระมหากษัตริย์ พระราชินี  และองค์รัชทายาท เหตุเกิดบนเวทีปราศรัยชั่วคราวลานวัดสามัคคีธรรม ซ.ลาดพร้าว 64  แขวง - เขตวังทองหลาง ซึ่งศาลอ่านและอธิบายคำฟ้องให้จำเลยฟังแล้วสอบถาม ซึ่งจำเลยแถลงให้การรับสารภาพไม่ต่อสู้คดี

ศาลพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า จำเลยกระทำผิดจริงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112  พิพากษาให้จำคุก 5 ปี  ลดโทษให้กึ่งหนึ่งเหลือจำคุก 2 ปี 6 เดือน โดยให้นับโทษจำเลยต่อในคดีหมิ่นเบื้องสูงของศาลอาญาอีก 3 สำนวน คดีแดง อ.503/2555  ,504/2555 และ505/ 2555 ที่ศาลอาญา พิพากษาให้จำคุก 7 ปี 6 เดือนด้วย เมื่อรวมโทษจำเลยทั้งหมดแล้ว จึงจำคุกสิ้น 10 ปี

ด้านโลกวันนี้รายงานว่านายคารม พลพรกลาง ทนายความของ นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข แกนนำกลุ่ม 24 มิถุนา เพื่อประชาธิปไตย จำเลยในคดีหมิ่นเบื้องสูง กล่าวถึง การเรียกประกันตัว นายสมยศว่า ล่าสุด เมื่อวันที่ 27 เมษายน ที่ผ่านมา ได้ยื่นคำร้อง พร้อมหลักทรัพย์เป็นเงินสดและที่ดิน รวมมูลค่าประมาณ 3 ล้านบาท จากการประกันตัว นายสมยศ ต่อศาลอาญารัชดาและศาลได้มีคำสั่งยกคำร้องประตัว โดยให้เหตุผลว่า ไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม

นอกจากนี้ คำร้องที่ได้ยื่นต่อศาลอาญา เพื่อขอให้ส่งคำร้องยุติการพิจารณาคดีของ นายสมยศ ไว้เป็นการชั่วคราว และให้ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความว่า ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 นั้น ขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ เนื่องจาก ไม่ให้สิทธิ์จำเลยในการออกมาต่อสู้คดี แต่ศาลอาญา ก็ไม่ส่งคำร้องไปยังศาลรัฐธรรมนูญและพิจารณาคดีต่อไป ดังนั้น ตนจึงได้ไปยื่นคำร้องไว้ที่ ศาลรัฐธรรมนูญแล้ว เมื่อวันที่ 27 เมษายน ที่ผ่านมา เพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความเรื่องประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และผลจาการยื่นคำร้องดังกล่าว ศาลอาญา ยังคงพิจารณาคดีต่อไปได้ แต่ยังไม่สามารถพิพากษา นายสมยศ ได้ เพราะต้องรอคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญก่อน โดย นายสมยศ มีกำหนดที่จะขึ้นศาลในนัดสืบพยานจำเลย คดีหมิ่นสถาบันในวันที่ 1 พฤษภาคมนี้

ที่มา prachatai

เสวนา “มาตรา 112 ข้อถกเถียงทางกฎหมายสู่ข้อถกเถียงทางสังคม”






เสวนารำลึก ดร. หยุด แสงอุทัย วรเจตน์ระบุ ปัญหาใหญ่ 112 คือปัญหาอุดมการณ์ที่กำกับการตีความตัวบท และไม่มีบทยกเว้นโทษและยกเว้นความผิด ถาวร เสนเนียม เผย ไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอแก้มาตรา 112 โดยเพิ่มโทษ ของพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค สมชาย หอมลออ กรรมการ คอป.ระบุปัญหาการใช้ 112 เป็นอุปสรรค จำกัดเสรีภาพการแสดงความเห็น

วันเสาร์ที่ 28 เมษายน 2555 คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) จัดงานวิชาการรำลึก ศาสตราจารย์ ดร. หยุด แสงอุทัย โดยเสวนาวิชาการหัวข้อ “มาตรา 112 ข้อถกเถียงทางกฎหมายสู่ข้อถกเถียงทางสังคม” ที่ห้องจี๊ด เศรษฐบุตร คณะนิติศาสตร์ มธ. ท่าพระจันทร์ ผู้ร่วมอภิปรายประกอบด้วย นายถาวร เสนเนียม รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ภาคใต้ สมชาย หอมลออ กรรมการคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ผศ. ดร. กิตติศักดิ์ ปรกติ รศ.ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ ดำเนินการโดย สาวตรี สุขศรี หัวหน้าภาควิชากฎหมายอาญาและอาชญาวิทยา คณะนิติศาสตร์ มธ.

สุรศักดิ์ ลิขสิทธิ์วัฒนกุล คณบดีคณะนิติศาสตร์ กล่าวเปิดการเสวนาว่า หัวข้อเสวนานี้ เป็นหัวข้อที่ถกเถียงกันมากและดูเหมือนจะสร้างความร้าวฉาน แต่เป็นหัวข้อที่สำคัญ และอยากให้คิดว่าในบ้านเมืองต้องหลอมรวมความคิดที่แตกต่างกันให้ได้ โดยไม่ใช้ความรุนแรงใดๆ ทั้งนี้ ดร.หยุด แสงอุทัยก็เขียนงานวิชาการแล้วถูกกล่าวหาว่าเขียนบทความที่เป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ แต่ข้อเท็จจริงไม่มีการสอบสวนและดำเนินการต่อ

ปูนเทพ ศิรินุพงศ์ อาจารย์ประจำ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อธิบายเพิ่มเติมกรณีที่ ดร.หยุด แสงอุทัยถูกร้องทุกข์กล่าวโทษโดย ส.ส. ผู้หนึ่ง จากกรณีที่ ดร.หยุด อ่านบทความผ่านทางสถานีวิทยุประจายเสียงแห่งประเทศไทย เมื่อวันอังคารที่ 7 ก.พ. 2499 โดยข้อความที่ถูกกล่าวหาคือ..”องค์พระมหากษัตริย์ไม่พึงรัสสิ่งใดอันเป็นปัญหาหรือเรื่องราวที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจ การเมือง หรือทางสังคมของประเทศ โดยไม่มีรัฐมนตรีในคณะรัฐบาลเป็นผู้สนองพระบรมราชโองการ” โดยครั้งนั้น ส.ส. คนหนึ่งส่งบันทึกด่วนถึงอธิบดีกรมตำรวจว่า ดร.หยุดไม่มีสิทธิจะวิจารณ์ แต่ตำรวจให้ความเห็นว่า การวิจารณ์ดังกล่าวไม่เป็นการผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เพียงแต่แนะประชาชนให้รู้ฐานะของกษัตริย์ไม่บังควรไปรบกวนให้ปฏิบัติการใด ทั้งจอมพล ป. นายกรัฐมนตรีคณะนั้นก็ได้ให้ความเห็นว่า ดร. หยุดไม่ได้ทำผิดด้วย

000

ถาวร เสนเนียม: อยากให้คนที่มีส่วนเกี่ยวข้องได้ช่วยขับเคลื่อนผลักดันพฤติกรรมอันน่ารังเกียจของกระบวนการยุติธรรมในสังคมไทย ขณะที่ถ้าจะมีการผลักดันให้มีการแก้มาตรา 112 ก็น่าจะเอามาตราอื่นที่เกี่ยวข้องมาพิจารณา และปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนมาพิจารณาประกอบกันด้วย



ถาวร เสนเนียม กล่าวว่าตลอดมา ประเทศไทยปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ซึ่งทุกประเทศต้องมีประมุข แต่แบ่งเป็นสองประเภท คือ เป็นพระมหากษัตริย์กับไม่ใช่กษัตริย์ คือประธานาธิบดี สำหรับมาตรา 8 ของรัฐธรรมนูญ นั้นบัญญัติว่ากษัตริย์ทรงเป็นที่เคารพสักการะ ละเมิดมิได้ ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางไม่แพ้มาตรา 112 ว่าเป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นหรือไม่

เขาตั้งประเด็นว่า ปัจจุบันนี้มีการกระทำผิดมาตรา 112 มากกว่าปกติเพราะอะไร ประการต่อไปคือมีการวิพากษ์วิจารณ์ให้แก้ไข 112 ต้องถามว่าบัญญัติไว้เป็นประชาธิปไตยหรือไม่ ขัดต่อรัฐธรรมนญไหม ขัดขวางในการแสดงความเห็นและขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชนหรือไม่

โดยที่มาตราดังกล่าวห้ามดูหมิ่น หมิ่นประมาท หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย ซึ่งการหมิ่นประมาท อาฆาตมาดร้ายคนอย่างถาวร เสนเนียม ก็ผิดกฎหมายเช่นกัน

ประเด็นต่อมาคือ การทำผิดที่หลายคนพูดกันติดปากว่าหมิ่นพระบรมเดชานุภาพนั้นคือ มีองค์ประกอบความผิด 3 ประการ คือ ห้ามดูหมิ่น หมิ่นประมาท หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย กับคน 3 กลุ่มคือ พระมหากษัตริย์ ราชินี และองค์รัชทายาทนั้น ต้องดูหลักคิดที่นำมาใช้บัญญัติกฎหมายดังกล่าว และเทียบเคียงกับกรณีต่างประเทศด้วยว่ามีกฎหมายลักษณะเช่นเดียวกันหรือไม่ ทั้งนี้เขาระบุว่ากฎหมายนั้นแก้ไขได้ และมาตรา 112 ไม่มีใครห้ามแก้ แต่ต้องดูบรรยากาศที่เกิดขึ้นในสังคม ไม่ใช่แก้ด้วยอารมณ์ต้องแก้ด้วยเหตุผล

เมื่อพูดถึงหลักกฎหมาย มาตรานี้คำนึงถึงหลักนิติธรรม ว่าไม่ต้องการให้เกิดผลร้ายกับผู้เสียหายหรือเหยื่อ ความไม่สงบ ความมั่นคงและเศรษฐกิจของสังคมนั้นๆ ด้วย

ประการต่อมา คือประมุขของรัฐต้องได้รับความคุ้มครองเป็นพิเศษ รัฐไทยก็ได้รับความคุ้มครองเป็นพิเศษเช่นเดียวกับต่างชาติ และประมุขของรัฐนั้นได้รับความคุ้มครองในฐานะที่เป็นสถาบัน ประการหนึ่ง และในฐานะบุคคลอีกประการหนึ่ง ซึ่งไม่แตกต่างกับต่างประเทศมากนัก

ถาวรระบุด้วยว่า กฎหมายอาญามาตรา 113 ยังได้บัญญัติคุ้มครองประมุขต่างประเทศด้วย ขณะที่กฎหมายอาญามาตรา 134 ยังบัญญัติคุ้มครองเป็นพิเศษ ต่อผู้แทนรัฐต่างประเทศจากการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น แสดงความอาฆาตมาดร้าย

เมื่อเป็นเช่นนี้ ถามว่านี่เป็นสิทธิพิเศษเขียนไว้คุ้มครองกษัตริย์ไทยหรือไม่ ก็ต้องตอบว่าไม่เป็นพิเศษ เพราะเป็นไปตามลักษณะวัฒนธรรมไทยและสอดคล้องกับต่างประเทศ

ขณะที่มีผู้อ้างว่ากฎหมายดังกล่าวนั้นขัดกับปฏิญญาสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ แต่ภายใต้ปฏิญญาดังกล่าวก็ยังระบุว่าบุคคลทุกคนย่อมอยู่ภายใต้ข้อจำกัดตามกฎหมาย จึงไม่ใช่ทุกคนจะลุกขึ้นมาหมิ่นประมาทใคร แสดงความอาฆาตมาดร้ายใครก็ทำได้

เขาตั้งคำถามว่า ในการปกครองระบอบประชาธิปไตย มีการห้ามหรือการจำกัดสิทธิเสรีภาพในบางเรื่องนั้น ใครถูกใครผิด โดยยกตัวอย่างประเทศมาเลเซีย จะดูหมิ่นพระเจ้า หรือมีพฤติกรรมรักร่วมเพศ ไม่ได้ เป็นความผิด ขณะที่สามารถแสดงพฤติกรรมเช่นนี้ในอเมริกาได้ ดังนั้น ในประเทศประชาธิปไตย การระบุว่าใครถูกใครผิดต้องคำนึงถึงศีลธรรมอันดีและความสงบเรียบร้อยของประเทศนั้นๆ เป็นหลักด้วย

“การจะแก้ไขมาตรา 112 นั้นผมยังไม่เห็นด้วยเพราะส่งผลกระทบไม่ว่าจะต่อความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดี” นายถาวรกล่าวย้ำ จากนั้นได้อ้างถึงพระราชดำรัส “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรมเพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” และแสดงความเห็นว่า “การจะแก้กฎหมายนั้นยังยืนยันว่าแก้ได้ แต่ต้องคำนึงถึงประโยชน์ที่เกิดขึ้นในสังคม วัฒนธรรมประเพณี การปกครองในระบอบประชาธิปไตยนั้นถูกจำกัดสิทธิมีในทุกประเทศไม่ใช่เฉพาะประเทศไทย”

ถาวรกล่าวต่อไปด้วยว่าระหว่างตัวกฎหมายและการบังคับใช้กฎหมายนั้นเราสับสน เช่นกรณียาเสพติด ที่คนมักอ้างว่ากฎหมายไม่ศักดิ์สิทธิ์ ทั้งนี้ ดร.คณิต ณ นคร เคยกล่าวว่ากระบวนการยุติธรรมไทยมีพฤติกรรมน่ารังเกียจสามอย่าง ประการแรกคือ มักทำงานสบายๆ ประการที่สอง มักกลัวไปหมดทุกอย่าง วันที่ประชาธิปัตย์ทำงาน ก็กลัวว่าสิ่งนั้นผิดสิ่งนี้ผิด พอวันที่ประชาธิปัตย์ไม่ได้ทำงานสิ่งนั้นไม่ผิดเสียแล้ว ประการที่สามมักจะชอบประจบ

โดยเขากล่าวว่า จากประสบการณ์ของตนเองในฐานะที่เคยเป็นอัยการมาก่อน เขาพบว่าหลักดุลพินิจของอัยการในการสั่งฟ้องสั่งไม่ฟ้องนั้นไม่ค่อยได้ใช้ ดังนั้น กรณีการแก้ไขมาตรา 112 นั้น เป็นเรื่องของการใช้กฎหมายเพื่อตอบเป้าหมายในการทำลายคู่แข่งทางการเมืองหรือไม่

ในส่วนของข้อเสนอของพรรค ปชป. ที่พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เป็นผู้จัดทำและเสนอนั้น ถาวระบุว่า ไม่เห็นด้วยทั้งสองประด็น คือการขยายความคุ้มครองไปยังราชวงศ์และการเพิ่มโทษ ทั้งนี้เขาเห็นว่าแม้จะมีการแก้ไขเพิ่มโทษใน พ.ศ. 2519 แต่ที่ผ่านมา ก็จะเห็นว่ามีการพระราชทานอภัยโทษ ดังนั้นมาตรา 112 ไม่น่าจะเป็นปัญหาของการบัญญัติแต่น่จะเป็นปัญหากระบวนการยุติธรรมของสังคมไทย ดังนั้นก็อยากให้คนที่มีส่วนเกี่ยวข้องได้ช่วยขับเคลื่อนผลักดันพฤติกรรมอันน่ารังเกียจของกระบวนการยุติธรรมในสังคมไทย ขณะที่ถ้าจะมีการผลักดันให้มีการแก้มาตรา 112 ก็น่าจะเอามาตราอื่นที่เกี่ยวข้องมาพิจารณา และปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนมาพิจารณาประกอบกันด้วย

ทั้งนี้เขาอธิบายว่า ส.ส. มีอิสระที่จะเสนอแก้กฎหมาย ส.ส. คนหนึ่ง รวบรวมคนได้ 20 คน ก็สามารถเสนอแก้ไขกฎหมายได้


สมชาย หอมลออ: ในฐานะนักสิทธิมนุษยชน มาตรา 112 นั้นถูกนำไปใช้และเป็นอุปสรรค จำกัดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นระดับหนึ่ง และในภาวะที่มีความขัดแย้งเป็นขั้วทางการเมืองแล้วก็ถูกนำไปใช้มาก

สมชาย หอมลออ แสดงความเห็นในฐานะกรรมการ คอป. ว่า 112 นี้ตกอยูในสภาวะที่แก้ก็ไม่ได้ ไม่แก้ก็ไม่ได้ เป็นภาวะที่อิหลักอิเหลื่อมาก ประเด็น 112 กลายเป็นประเด็นทางการเมืองและเกือบจะเป็นประเด็นที่จะแบ่งขั้วทางการเมืองของคนในสังคมด้วย ซึ่งหากถูกผลักดันเป็นขั้วขัดแย้งในสังคมแล้วจะลึกและรุนแรงกว่าความขัดแย้งในช่วงที่ผ่านมา แต่หลังจากที่มีคนกลุ่มหนึ่งมีความพยายามที่จะทำอย่างนั้นก็ไม่สำเร็จในการใช้มาตรา 112 มาแบ่งขั้วการเมืองในสังคมไทย แต่ถือเป็นความโชคดีที่ทำไม่สำเร็จ
การถกเถียงทางวิชาการด้วยเหตุด้วยผลจะทำให้การแก้ไขปัญหานี้สามารถทำได้ คือทำให้สภาวะที่แก้ก็ไม่ได้ ไม่แก้ก็ไม่ได้ นั้นหมดไป

ในส่วนของ คอป. นั้นมีภาระหน้าที่ในการตรวจสอบค้นหาความจริงและพยายามเสนอแนะต่อรัฐ สังคมและคู่ขัดแย้งต่างๆ เพื่อจะขจัดขวากหนามหรืออุปสรรคที่จะสร้างความปรองดอง ทำให้ คอป.พบปมขัดแย้งประการหนึ่งที่ดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ คือ คดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ที่มีผู้ถูกดำเนินคดีมากขึ้นทุกวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกลุ่ม นปช. หรือกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลในช่วงที่มีการชุมนุมเมื่อปี 2553 ซึ่งเขาเองได้ดูสำนวนคดีหลายสำนวนและพฤติกรรมในการดำเนินคดี ก็พบว่าปัญหา 112 เป็นปัญหาทั้งตัวกฎหมาย การบังคับใช้ และการตีความกฎหมายโดยศาล คือไม่ได้เป็นปัญหาเฉพาะการบังคับใช้ แต่เป็นปัญหาที่ตัวบทกฎหมายด้วย จึงเสนอให้แก้ไขในสองประเด็นคือผู้ฟ้อง (เสนอให้ผู้ฟ้องคือสำนักพระราชวัง) และลดโทษลง

ในฐานะนักสิทธิมนุษยชน มาตรา 112 นั้นถูกนำไปใช้และเป็นอุปสรรค จำกัดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นระดับหนึ่ง และในภาวะที่มีความขัดแย้งเป็นขั้วทางการเมืองแล้วก็ถูกนำไปใช้มาก ในขณะที่หลักสิทธิมนุษยชนนั้น เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นเป็นเสรีภาพที่มีความสำคัญมากในสังคมประชาธิปไตย

ทั้งนี้ เสรีภาพในการแสดงออก เสรีภาพในการพูด หรือการโฆษณา นั้นมีความสำคัญมาก และแม้จะสามารถจำกัดได้ ไม่ได้สัมบูรณ์แต่การจำกัดนั้นจะต้องอยู่ในภาวะที่จำเป็นและด้วยเหตุผลบางประการเท่านั้น คือการรักษาดุลยภาพระหว่างสังคมกับบุคคล

แต่เสรีภาพในการแสดงความเห็นนั้นเกี่ยวโยงอย่างชัดเจนและแยกไม่ออกกับเสรีภาพอีกสองประการ คือเสรีภาพทางวิชาการ ถ้ามีการค้นคว้ามากมายแต่เผยแพร่ไม่ได้ ก็เป็นวิชาการแบบสมัยกาลิเลโอ ไม่สามารถพัฒนาให้เจริญก้าวหน้าได้ และเสรีภาพอีกประการคือ เสรีภาพทางความคิดความเชื่อ ซึ่งยังถูกจำกัดมาก ยกตัวอย่างเช่น การไปจดทะเบียนพรรคการเมืองในปัจจุบันแม้กฎหมายคอมมิวนิสต์จะเลิกไปนานแล้ว แต่ถ้าจะตั้งพรรคสังคมนิยมก็ตั้งไม่ได้ ซึ่งถ้าความคิดของคนไม่สามรารถเผยแพร่ได้เสียแล้ว ความคิดนั้นย่อมจะมืดบอด ตายไปในที่สุด ทั้งนี้เสรีภาพในทางความเชื่อเป็นเสรีภาพที่สัมบูรณ์ห้ามกันไม่ได้

ประการที่สำคัญอีกประการคือ โดยหลักแล้วเราต้องสนับสนุนเสรีภาพในการแสดงออกเพราะในประวัติศาสตร์ได้พิสูจน์แล้วว่าสังคมที่แตกต่างหลากหลายเป็นสังคมที่สามารถพัฒนาเจริญและยั่งยืน ถ้าสังคมนั้นไม่มีพื้นที่สำหรับความแตกต่างแล้ว สังคมนั้น ถ้าจะต้องเปลี่ยนแปลงซึ่งต้องเปลี่ยนแปลงแน่นอนอยู่แล้ว การเปลี่ยนแปลงนั้นจะรุนแรง การจัดพื้นที่ให้ความแตกต่างจะทำให้ความเปลี่ยนแปลงนั้นลดความเจ็บปวดลง ไม่รุนแรงหรือสุดขั้ว

การที่ถูกจำกัดเสรีภาพในการเสนอความคิดเห็นต่อสถาบันต่างๆ นั้นจะทำให้สถาบันไม่สามารถไปได้ตลอดรอดฝั่ง

สำหรับการใช้บังคับมาตรา 112 ในสภาวะปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นตำรวจ หรืออัยการ ก็จะเตะลูกขึ้นไปข้างบนเพราะไม่กล้า ทั้งๆ ที่มีอำนาจทางกฎหมาย เช่นอัยการมีอำนาจหน้าที่ในการกลั่นกรองคดี จะโทษผู้มีหน้าที่บังคับใช้กฎหมายอย่างเดียวไม่ได้ ต้องดูสังคมด้วย เพราะถ้าบอกว่าไม่ฟ้องโดนแน่ ทั้งการวิพากษ์วิจารณ์และตรวจสอบ พนักงานสอบสวนและอัยการต้องมีความเชื่อมั่นในความเป็นมืออาชีพ แต่ต้องยอมรับว่าแรงกดดันทำให้บุคคลเหล่านี้หวั่นไหวได้ การตีตราก็เกิดตลอดเวลา และเคยเกิดภาวะเช่นนี้เมื่อ 30-40 ปีที่แล้วซึ่งสังคมไทยน่าจะได้เรียนรู้เพื่อไม่ให้เกิดสภาพเช่นนั้นอีก

สมชาย กล่าวต่อไปถึงการตีความว่าคดีดังกล่าวเป็นคดีร้ายแรงแต่เมื่อเทียบกับโทษอื่นๆ เช่นโทษจำคุกตลอดชีวิตหรือประหารชีวิต ผู้ถูกกล่าวหากลับได้รับการประกันตัว ขณะที่คดี 112 มีโทษจำคุกสูงสุด 15 ปี เมื่อเทียบแล้วยังเป็นคดีที่ร้ายแรงน้อยกว่า โทษจำคุกตลอดชีวิตหรือประหารชีวิต

กรรมการ คอป. กล่าวถึงกรณี อากง SMS เปรียบเทียบการส่ง SMS กับการออกอากาศทีวี ศาลตัดสินกรณีส่ง SMS ลงโทษจำคุกไม่ต่ำกว่า 3 ปี เพราะกฎหมายกำหนดว่าอย่างต่ำคือ 3 ปี นี่คือตัวอย่างว่ากฎหมายไม่ได้มีช่องว่างให้ศาลใช้ดุลพินิจที่เหมาะสมเลย ซึ่งการเปลี่ยนแปลงกฎหมายมาตรานี้เกิดขึ้นหลังเหตุการณ์รุนแรงปี 2519 คอป. จึงเสนอให้แก้ไข ลดจำนวนโทษ และไม่ใช่ใครก็ได้ไปกล่าวหาเป็นความผิด แล้วพนักงานสอบสวนจะไม่ดำเนินการก็ไม่ได้ เพราะการกดดันทางสังคม การวิพากษ์วิจารณ์จับจ้อง ดังนั้นคดีนี้จึงเป็นคดีที่ไม่ใช่ใครก็ได้ที่จะไปแจ้งความ เพราะลักษณะนี้เป็นผลเสียต่อสังคมและสถาบันด้วย และกลายเป็นเครื่องมือทางการเมืองไป

ส่วนที่กำหนดว่าทำไมต้องเป็นสำนักพระราชวัง เพราะอ้างอิงจากกรณีที่กฎหมายบัญญัติว่าถ้าจะมีการค้นพระราชฐานต้องได้รับความยินยอมจากสำนักพระราชวัง แต่อาจจะมีหน่วยงานอื่นที่มีความเป็นมืออาชีพในการกลั่นกรองก็ได้

กิตติศักดิ์ ปรกติ: มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เองก็ยังสอนเรื่องเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์น้อยเกินไป และการเฉลิมพระเกียรติพระมหากษัตริย์นั้นควรจะเฉลิมพระเกียรติด้วยความยุติธรรม

กิตติศักดิ์ ปรกติ ระบุว่าปัญหามาตรา 112 นั้นเป็นปัญหาทั้งตัวกฎหมายและการปรับใช้ตัวกฎหมาย แต่เขาไม่เห็นด้วยกับความเห็นของนิติราษฎร์เรื่องการแยกความผิดระหว่างความผิดที่กระทำต่อกษัตริย์กับราชินี

เขากล่าวว่า ปัญหามาตรา 112 หรือความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพนั้นเป็นเส้นแบ่งที่สำคัญระหว่างการคุ้มครององค์พระมหากษัตริย์ในฐานะที่เป็นปัจจัยความมั่นคง ในฐานะเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทยกับการใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงความเห็น

การดูหมิ่นเป็นการแสดงความเห็นล้วนๆ แต่การหมิ่นประมาทเป็นการแสดงความเห็นประกอบการยืนยันข้อเท็จจริง ซึ่งต้องไม่ละเมิดสิทธิเสรีภาพของคนอื่นด้วย แต่มันไม่ใช่เส้นแบ่งแค่ความมั่นคงกับเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น โดยเขาเห็นว่า มาตรา 112 ยังเป็นเส้นแบ่งของสถานะพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยด้วย คือจะคุ้มครองกษัตริย์ในฐานะสถาบันทางวัฒนธรรมที่ดำรงอยู่มายาวนาน เป็นคำมั่นสัญญาที่มีมาตั้งแต่ 2475 ว่าจะเปลี่ยนแปลงเป็นประชาธิปไตยและมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างกษัตริย์กับระบอบประชาธิปไตย เป็นการต่อสู้แสวงหาคำนิยามที่พยายามช่วงชิงกันว่า กษัตริย์จะมีสถานะอย่างไรในระบอบประชาธิปไตย รัฐธรรมนูญ 2475 เป็นต้นมากำหนดชัดแจ้งว่า ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักร และปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยโดยมีกษัตริย์เป็นประมุข

และยังมีการระบุในรัฐธรรมนูญว่า อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย และกษัตริย์ใช้อำนาจนั้นซึ่งต่างกับประเทศอื่นที่ว่า ประชาชนเป็นเจ้าของและเป็นผู้ใช้อำนาจอธิปไตยนั้น ที่ไทยเขียนแบบนี้ ก็ตอบได้อย่างเดียวว่าเป็นการประนีประนอมระหว่างผู้ถืออำนาจแต่ดั้งเดิมที่เป็นชุมชนทางการเมืองอันประกอบด้วยกษัตริย์ พระบรมวงศานุวงศ์ และข้าราชการ และบรรดาผู้ที่สถาปนาระบอบประชาธิปไตยขึ้น ว่าจะหาทางใช้ระบอบประชาธิปไตยนี้ภายใต้กฎหมายอย่างไร

คำถามคือ ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย แล้วประชาชนให้อำนาจกษัตริย์ใช้อำนาจตั้งแต่เมื่อไหร่ คำตอบคือ ตกลงกันไว้ตั้งแต่ 2475 อย่างไรก็ตาม ชาติกำเนิดไม่ก่อเกิดอภิสิทธิ์ ดังนั้นการคุ้มครองจึงไม่ครอบคลุมถึงราชวงศ์ด้วย การใช้ราชาศัพท์กับพระบรมวงศานุวงศ์นั้นเป็นการแสดงความสุภาพ ดังนั้นหากการแก้มาตรา 112 จึงไม่ควรขยายความคุ้มครองไปยังพระบรมวงศานุวงศ์

กิตติศักดิ์กล่าวต่อไปว่า อีกประเด็นหนึ่งคือ ความสัมพันธ์ระหว่างกษัตริย์กับปวงชนชาวไทย ซึ่งปวงชนชาวไทยนั้นมีผู้แทน คือ ส.ส. แต่ความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำ คือกษัตริย์นั้นเป็นประมุขและเป็นสัญลักษณ์ ขณะที่ผู้แทนปวงชนชาวไทยกลับไม่เป็นที่นิยม

กษัตริย์ในฐานะสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม ในทางข้อเท็จจริง เมื่อมีผู้ทำผิดเกี่ยวกับกษัตริย์ ชาวบ้านก็นินทา แต่นินทาแล้วจะถูกดำเนินคดีหรือไม่ก็อีกเรื่อง ค่านิยมทางวัฒนธรรมนั้นผูกอยู่กับทศพิธราชธรรม คือ ถ้ามีพฤติกรรมที่ขัดกับหลักทศพิธราชธรรมก็จะถูกนินทาเป็นธรรมดา แต่รู้กันว่าจะไม่ทำในที่สาธารณะ เมื่อเกิดการนินทาในทางสาธารณะขณะที่มีความเห็นที่หลากหลาย ก็เกิดความรุนแรงและกระทบต่อความมั่นคงได้ เพราะความเกี่ยวพันระหว่างกษัตริย์ ความเป็นชาติ รัฐ และความมั่นคง ทั้งนี้คำพิพากษาจำนวนไม่น้อยก็โคลงเคลงแกว่งไปมา โดยยกตัวอย่าง นักวิชาการไปกล่าวในวันสิทธิมนุษยชน นักวิชาการกล่าวว่าคนที่เรียกพระเจ้าอยู่หัวเป็นพ่อนั้นไม่ถูกเพราะกษัตริย์ไม่ใช่พ่อ และคนที่กล่าวอ้างนั้นผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเพราะอ้างตัวเป็นพระองค์เจ้า โดยคนที่กล่าวนั้นถูกร้องทุกข์กล่าวโทษ ตำรวจวินิจฉัยว่าการกล่าวเช่นนั้นไม่ผิด ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ดีของการใช้และการตีความมาตรา 112

กิตติศักดิ์ ระบุว่าถ้าไม่ทำความเข้าใจกันให้ชัดเจนก็จะมีการ “ตู่” กันไปมา อีกประการคือ ความสัมพันธ์ระหว่างกษัตริย์กับประชาชน ว่าเป็นผู้ใช้อำนาจอธิปไตยซึ่งเป็นของปวงชนชาวไทย เขากล่าวว่า กษัตริย์ใช้อำนาจในฐานะที่เป็นองค์กรที่เป็นบูรณาการ ไม่ใช่ทำตามอำเภอใจ ส่วนจะพึงใช้อย่างไรก็เห็นอยู่

กิตติศักดิ์ กล่าวด้วยว่าองค์กรต่างๆ ได้ใช้พระมหากษัตริย์แสวงประโยชน์ส่วนตัวและประโยชน์ทางการเมือง อ้างว่าจงรักภักดี แล้วกล่าวหาคนอื่น ตัวอย่างง่ายๆ ในมหาวิทยาลัย เวลาเสด็จอย่ากราบได้ไหม เพราะตามพระราชบัญญัติสมัย ร. 5 ห้ามกราบ ยังไม่ได้ยกเลิกไป คือห้ามทอดตัวลงบนผืนดินแล้วกราบ เพราะเป็นหลักฐานแสดงการดูถูกเหยียดหยามศักดิ์ศรีของคน แต่ยังมีผู้ไปหูไปนาเอาตาไม่ไร่ มีผู้ทักท้วงว่าอย่าพูดเดี๋ยวจะกลายเป็นไม่จงรักภักดี แต่ผมพูดด้วยความจงรักภักดี กฎหมายเขากำหนดไว้ก็ทำไปตามกฎหมาย ไม่มีข้อที่จะไปกล่าวหาได้ว่าไม่จงรักภักดี

โดยกิตติศักดิ์ ย้ำว่าทุกวันนี้มีคนทำตัวเป็นราชายิ่งกว่าองค์ราชันย์เสียอีก นี่จึงเป็นปัญหาที่ทำให้ต้องแก้มาตรา 112 ทั้งตัวบทและการปรับใช้กฎหมายให้ชอบด้วยเหตุผล และในฐานะที่เป็นมหาวิทยาลัย นายวรเจตน์ได้เสนอแก้กฎหมายแล้ว แม้เขาจะไม่เห็นด้วยบางอย่าง แต่ก็มีประเด็นที่เขาเห็นด้วยคือ ต้องลดโทษลง แต่ตัวเขาเสนอให้กลับไปใช้โทษสมัยสมบูรณาญาสิทธิ์ คือไม่เกิน 3 ปี

กิตติศักดิ์กล่าวในช่วงท้ายว่าประเด็นเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์นี้ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เองก็ยังสอนเรื่องเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์น้อยเกินไป และการเฉลิมพระเกียรติพระมหากษัตริย์นั้นควรจะเฉลิมพระเกียรติด้วยความยุติธรรม


วรเจตน์ ภาคีรัตน์: มาตรา 112 นั้นมีปัญหาในหลายระดับทั้งระดับการบังคับใช้ ตัวบท แต่ที่เห็นว่ามีปัญหามากที่สุดคือระดับของอุดมการณ์ที่กำกับการบังคับใช้ตัวบทกฎหมาย

วรเจตน์ ภาคีรัตน์ ระบุว่ามาตรา 112 นั้นมีปัญหาในหลายระดับทั้งระดับการบังคับใช้ ตัวบท แต่ที่เห็นว่ามีปัญหามากที่สุดคือระดับของอุดมการณ์ที่กำกับการบังคับใช้ตัวบทกฎหมาย การแก้ 112 อาจจะไม่ได้แก้ปัญหาทั้งหมด เพียงแต่บรรเทาลง

โดยเขากล่าวถึงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นว่า เมื่อมีการร้องทุกข์กล่าวโทษ ตำรวจต้องรับเรื่องและทำคดี ไม่สามารถใช้ดุลพินิจ ทุกกระบวนการจะผลักออกจากตัว ในแง่การบังคับใช้กฎหมายนี้มีปัญหาในตัวเอง ไม่ได้เกี่ยวกับตัวบทกฎหมายอย่างเดียว แต่เป็นบรรยากาศ สภาพแวดล้อมทางสังคม

ตัวบทนั้น ใครๆ ก็สามารถจะดำเนินคดี และโทษที่กำหนดไว้นั้นเกินสมควรกว่าเหตุ หลักการนี้เป็นหลักสำคัญในรัฐธรรมนูญ อย่างน้อยที่สุดโทษในมาตรานี้ ขัดกับหลักรัฐธรรมนูญ เพราะการกำหนดโทษไม่สามารถกำหนดโทษได้ตามอำเภอใจของผู้บัญญัติ และปฏิเสธไม่ได้ว่านี่คือโทษที่เป็นผลพวงโดยตรงจากการรัฐประหาร 2519 และไม่ใช่เรื่องนี้เรื่องเดียว แต่ยังพ่วงเรื่องการหมิ่นศาลและดูหมิ่นประมุขของต่างประเทศด้วย ดังนั้นการแก้ 112 ต้องแก้กฎหมายที่เกี่ยวพันกันด้วย เช่น การดูหมิ่นของประมุขของรัฐต่างประเทศ เวลาที่มีการเสนอจึงต้องเป็นไปโดยปริยายในการปรับแก้โทษของกฎหมายที่เกี่ยวข้องกัน และเป็นหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติ

บางคนบอกว่าตัวบทกฎหมายนี้มีมาเป็นสิบๆ ปี ทำไมเพิ่งจะมาแก้กันตอนนี้ ซึ่งเขาเห็นว่ากฎหมายนี้มีปัญหามาตั้งแต่ตอนที่แก้ปี 2519 และมีปัญหามาตั้งแต่มีการบัญญติขึ้นในปี พ.ศ.2500 แต่มันไม่ได้เป็นประเด็นทางสังคม ถ้าพูดก็จะเหมือนกับที่เจอตอนนี้ เพราะมีการรณรงค์บอกว่า แก้ 112 เท่ากับล้มเจ้า ทั้งๆ ที่นี่เป็นตัวบทกฎหมายมาตราหนึ่งเท่านั้น

วรเจตน์กล่าวว่าประเด็นมาตรา 112 ต้องพูดไปอีกหลายเวที และหากทาง คอป. จะจัดการพูดคุยเรื่องนี้ก็จะยินดีอย่างยิ่ง โดยเขาระบุว่า ปัญหาใหญ่ที่สุดของมาตรา 112 คือไม่มีการกำหนดเหตุยกเว้นความผิดหรือเหตุยกเว้นโทษกรณีที่เป็นการติชมโดยสุจริตและเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ ซึ่งต่างกับกฎหมายหมิ่นทั่วไป การไม่เอาหลักเรื่องนี้มาใช้เป็นผลจาการตีความของศาลด้วย

โดยวรเจตน์ได้ยกเอาคำสอนของอาจารย์กฎหมายรายหนึ่งระบุว่าเมื่อมีการกระทำที่เป็นการหมิ่นประมาทแล้วจะอ้างข้อแก้ตัวตามที่บัญญัติสำหรับคนธรรมดาหาได้ไม่ เพราะกษัตริย์นั้นเป็นที่เคารพสักการะอยู่เหนือการติชม ขณะที่รัชทายาทและราชินีนั้นเป็นเครื่องประกอบ วรเจตน์เห็นว่าการตีความแบบนี้ทำให้ไม่สามารถนำเอาเหตุยกเว้นความผิดหรือยกเว้นโทษได้ วรเจตน์กล่าวว่านี่เป็นการตีความที่เกินตัวบท ดังนั้นหากบุคคลธรรมดาตีความอย่างไร การดูหมิ่นหรือหมิ่นประมาทกษัตริย์ก็ต้องตีความอย่างเดียวกัน ความเข้าใจแบบนี้ ทำให้เกิดการตีความอย่างกว้างและบิดเบือนตัวบท

วรเจตน์ยกตัวอย่างคำพิพากษา จ.นครสวรรค์ อัยการบรรยายฟ้องว่าการหมิ่นพระเทพฯ ผิดตาม 112 ขณะที่ตัวบทคุ้มครอง กษัตริย์ ราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการ โดยศาลชั้นต้น ขยายความคุ้มครองไปถึงพระบรมวงศ์ที่อาจสืบสัตติวงศ์ โดยระบุว่ารัชทายาทแห่งบทบัญญัติมาตรา 112 หมายรวมถึงพระราชโอรส พระราชธิดา ทีอาจสืบสันตติวงศ์ แต่คดีนี้ศาลอุทธรณ์ได้กลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยเห็นว่าพระเทพฯ นั้นไม่ใช่รัชทายาทตามมาตรา 112 เพราะตามกฎมณเฑียรบาลมีตำแหน่งเดียวคือสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช

วรเจตน์กล่าวว่าการตีความตัวบทในกรณีของศาลชั้นต้น จ.นครสวรรค์นี้ ก็น่าสงสัยว่าผู้พิพากษาตีความกฎหมายในระบอบการปกครองใด ในระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข การตีความมีเกณฑ์ ผู้พิพากษาจะเอาทัศนะต่างระบอบกันมาตีความไม่ได้

วรเจตน์กล่าวว่า การคุ้มครองสถานะไม่ใช่เรื่องสถาบัน การตีความต้องชัดเจนว่าตำแหน่งกษัตริย์หมายถึงใคร ซึ่งต้องหมายถึงกษัตริย์พระองค์ปัจจุบัน เพราะถ้าไม่ตีความให้ดีก็อาจจะเกินเลยไปถึงกษัตริย์ในประวัติศาสตร์ได้ ดังนั้นการคุ้มครองจึงต้องเป็นกษัตริย์ที่เป็นประมุขของรัฐ และในความเห็นของตนเองเป็นไปไม่ได้ที่จะอธิบายว่ากษัตริย์เป็นตัวแทนของปวงชนชาวไทย เพราะกษัตริย์เป็นการกำหนดคอนเซ็ปท์รูปของรัฐ ว่าจะเป็นสาธารณรัฐ หรือเป็นราชอาณาจักร เมื่อเราตัดสินใจเป็นราชอาณาจักรก็ให้กษัตริย์เป็นประมุขของประเทศ การคุ้มครองกษัตริย์จึงคุ้มครองในฐานะประมุขไม่ใช่เจ้า

อีกประเด็นที่โยงกับมาตราดังกล่าว คือประเด็นเรื่องความมั่นคง ซึ่งเขาเห็นว่าเป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวัง เพราะความมั่นคงนั้นต้องเกี่ยวข้องกับการมีอยู่หรือไม่มีอยู่ของรัฐ และจะดีมากหากอธิบายให้เห็นว่ามันคือความมั่นคงของนิติรัฐ

ข้อโต้แย้งที่ว่าประเทศไทยมีวัฒนธรรมหรือขนบธรรมเนียมเป็นพิเศษ ผมคิดว่าข้อโต้แย้งแบบนี้ต้องใช้ความระมัดระวังอย่างสูง หากย้อนกลับไปสมัยที่ใช้กฎหมายตราสามดวงอยู่ ท่านก็จะเห็นว่าโทษนั้นมีอย่างไร เช่น การเปิดกะโหลกเอาถ่านร้อนๆ ใส่เข้าไป ท่านจะยอมรับโทษแบบนี้ได้ไหม คือเราอาจจะมีลักษณะบางอย่างที่เป็นคุณค่าเช่น การแต่งกาย อาหารการกิน แต่เรื่องบางเรื่องก็เป็นเรื่องคุณค่าสากล ที่ไม่ควรจะเอาลักษณะเฉพาะไปอ้างให้มีการกดขี่ เช่นการขว้างหินในประเทศอื่นๆ ก็กำลังมีการต่อสู้กันอยู่ ลักษณะเฉพาะเช่นนั้นก็ไม่ใช่ตัวอย่างที่ดีที่จะเอามาอ้างเพื่อปกป้องสถาบันกษัตริย์ การปกป้องกษัตริย์ควรปกป้องด้วยความจริง เพื่อให้สถาบันอยู่กับประเทศไปอย่างยาวนาน

วรเจตน์ กล่าวย้ำถึงประเด็นสำคัญที่เห็นต่างกับกิตติศักดิ์เรื่องกษัตริย์เป็นผู้แทนปวงชน เพราะเขาเห็นว่ากษัตริย์นั้นเป็นผู้แทนรัฐ แต่ไม่สามารถเป็นตัวแทนปวงชนได้ เพราะการใช้อำนาจอธิปไตยคือ ประชาชนใช้อำนาจโดยตรง หรือใช้อำนาจผ่านองค์กรรัฐ การใช้อำนาจโดยตรงคือการเลือกตั้งและการลงประชามติ การเลือกตั้งจึงสำคัญเพราะเป็นวันที่เจ้าของอำนาจใช้อำนาจของตัวเอง องค์กรนิติบัญญัติ หรือบริหารนั้นจะมีความชอบธรรมเพราะเชื่อมโยงกับประชาชน ส่วนองค์กรตุลาการนั้นมีปัญหาความเชื่อมโยงกับประชาชน และกรณีคำพิพากษาศาลนครสวรรค์นั้นควรจะเป็นกรณีใหญ่ แต่สำหรับสังคมไทยกลับเป็นเรื่องที่ลืมๆ กันไป


อภิปรายเพิ่มเติม
ถาวร เสนเนียม กล่าวย้ำว่าปัญหาหลักของมาตรา 112 คือปัญหาการใช้การตีความตัวบทมากกว่า การกล่าวว่าเจ้าหน้าที่ในกระบวนการยติธรรมต้องผลักประเด็นนี้ต่อไปยังกระบวนการขั้นสูงขึ้นเพราะแรงกดดันทางสังคมนั้นเป็นเพียงข้ออ้างและขาดความกล้าหาญ โดยได้กล่าวตำหนิกลุ่มนิติราษฎร์ว่าการเสนอแก้ไขกฎหมายนั้นต้องเสนอบริบทกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องด้วย โดยการแถลงของนิติราษฎร์ในช่วงแรกนั้นไม่ได้เสนอให้รอบด้าน

ถาวรได้แสดงความไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอของ คอป. ว่าการเสนอให้สำนักพระราชวังเป็นผู้ฟ้องนั้นจะยิ่งทำให้ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาทเพราะเป็นองค์กรที่ใกล้ชิด และได้เรียกร้องให้คณะนิติราษฎร์ขับเคลื่อนให้เกิดความเปลี่ยนแปลง โดยเขายืนยันว่ากฎหมายแก้ไขได้เสมอ เมื่อไหร่ที่มีความจำเป็นสังคมจะเป็นตัวชี้ตัวกำหนด

วรเจตน์ ตอบถาวรว่า กรณีข้อเสนอของนิติราษฎร์เมื่อ 18 ก.ย. แล้วมาทำเพิ่มเติมทีหลัง คือวันที่18 ก.ย. นั้นเป็นการเสนอเรื่องลบล้างผลพวงการรัฐประหารแต่มีมาตรา 112 พ่วงมาด้วย แต่ข้อเสนอเรื่องมาตรา 112 นั้นนิติราษฎร์ได้เสนอมาก่อนแล้ว

สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ มธ. กล่าวว่า เวลาที่เราพูดกันเรื่องข้อตกลงระหว่างกษัตริย์กับราษฎร หรือพระมหากษัตริย์มีความรับชอบ การอภิปรายเรื่องนี้เป็นการอภิปรายแบบจอมปลอมเพราะเวลาที่เราพูดเรื่องสัญญาและความรับชอบ โดยพื้นฐานต้องมีคอมมอนเซนส์คือการจะกล่าวหาว่าใครผิดสัญญาด้วย ถ้าคุณสามารถพูดว่ารัฐบาลทำผิดสัญญาอย่างไร แต่พูดอีกกรณีหนึ่งไม่ได้ ยังไงก็พูดไม่ได้ ความตลกของเรื่องนี้ทั้งหมด คือคนอย่างอาจารย์กิตติศักดิ์น่าจะรู้ดี เพราะมันพูดในฝ่ายเดียว เกิดผมจะพูดในทางตรงข้ามออกไปก็โดนจับทันที คือการยกนามธรรมอย่างไรก็ได้ ผมฟังแล้วก็ไม่รู้จะเถียงยังไง เถียงก็โดนจับ

ประเด็นสั้นๆ ที่อาจารย์ธีรยุทธพูดและผมเห็นด้วยคือ 112 ไม่ใช่เรื่อง 112 แต่เป็นเรื่องภาพสถาบันกษัตริย์ แต่ประเด็นใหญ่ที่อยากจะพูดคือ ถึงที่สุดแล้วยังมีประเด็นที่ผมไม่เห็นด้วยกับ 112 เพราะข้อเสนอของผมคือยกเลิกไปเลย แต่หัวใจของเรื่องจริงๆ คือเราต้องตั้งคำถามว่า มันมีความจำเป็นแค่ไหนที่ต้องมีกฎหมายพิเศษที่ต้องคุ้มครองประมุขในกรณีหมิ่นประมาท เหตุผลในการตอบคำถามนี้ตรงกันโดยยกกรณีว่านี่เป็นบรรทัดฐานทั่วไปว่าต้องคุ้มครอง แต่ผมไม่เห็นด้วย คนชอบพูดว่าเป็นมาตรฐานสากล นิติราษฎร์เองก็ยกมาตรฐานสากล แต่การยกเรื่องนั้มันไม่มีความหมาย เพราะถ้ายกตัวอย่างนั้นจริงๆ ตองถามว่าประเทศอื่นเขามีอย่างเราไหม เช่นมีการอนุญาตให้ประมุขพูดสดๆ สามารถควบคุมทรัพย์สินของรัฐเป็นหมื่นๆ ล้านได้ไหม และมีการโปรแกรมด้านดีด้านเดียวของสถาบันกษัตริย์ นี่เป็นประเด็นสำคัญเลยว่ามันชี้ขาดอย่างไร

สอง ญี่ปุ่น อเมริกา สหรัฐ ไม่มีกฎหมายแบบนี้

สาม ไม่ว่าจะมีหรือไม่มี แต่ปัญหาที่ต้องตั้งคำถามคือควรใช้บรรทัดฐานอะไรในการพูดถึงประมุข และถามว่าเอาหลักการมาจากไหน นี่ผมถามอย่างซีเรียส

อย่างการยกกรณีตัวอย่างการขู่ประธานาธิบดีอเมริกา ต้องโทษ 5 ปี แต่ถ้าคุณขู่ FBI ต้องโทษ 10 ปีนะ ฉะนั้นการอ้างประมุขต้องได้รับความคุ้มครองมากกว่าปกติจึงไม่จริงเสมอไป

ที่สุดแล้ว เป็นเรื่องบรรทัดฐานของนักวิชาการ คุณต้องเอาบรรทัดฐานที่แท้จริง คือ ทุกวันนี้ใครเกลียดมาร์คเอารูปมาร์คไปใส่หัวควาย ใครเกลียดทักษิณก็ตัอรูปทักษิณไปใส่หัวหมา ถามว่าแล้วมีใครฟ้องไหม ประเด็นคือ ต้องใช้บรรทัดฐานเดียวกับประชาชนทั่วไป ไม่ใช่บรรทัดฐานของนักวิชาการ

กิตติศักดิ์ ตอบประเด็นของสมศักดิ์ ว่าต้องเสนอไปตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ส่วนกรณีที่เยอรมนีนั้นประธานาธิบดีสามารถพูดได้โดยไม่ต้องให้สภาตรวจสอบก่อน ส่วนการเฉลิมพระเกียรติโดยเกินพอดีนั้นควรแก้ไขไหม ก็ต้องแก้ไขโดยการวิพากษ์วิจารณ์ไปตามขอบเขต

วรเจตน์ ตอบประเด็นสมศักดิ์ ว่าการเทียบประธานาธิบดีกับกษัตริย์อาจจะเทียบได้ลำบากเพราะประธานาธิบดีของเยอรมนีมีความชอบธรรมในทางประชาธิปไตยเพราะมีการเข้าสู่ตำแหน่ง ประธานาธิบดีนั้นมีสายโซ่ทีเชื่อมโยงกับประชาชนไม่ขาดตอน

สำหรับประเด็นการคุ้มครองประมุขของรัฐนั้น เขาเห็นว่า เกณฑ์ในการวิจารณ์ในระบบทั่วไปไม่ยอมให้มีการด่าหยาบคาย ดูหมิ่น แม้แต่บุคคลธรรมดาก็เป็นสิ่งไม่ชอบด้วยกฎหมาย ถาจะยอมให้มีการดูหมิ่น หมิ่นประมาท ก็ต้องเลิกความผิดต่อบุคคลธรรมดาแล้วเลิกความผิดต่อกษัตริย์

สำหรับกรณีประธานาธิบดีของสหรัฐ เป็นทั้งประมุขของรัฐและฝ่ายบริหาร ดังนั้นการวิจารณ์นั้นแยกยาก และอเมริกาก็เป็นประเทศที่มีความอดทนต่อคำพูดที่ไม่ดีสูงมาก มากกว่าคนอื่นในโลกจนเขาไม่แน่ใจว่าควรจะใช้เกณฑ์ของอเมริกาเป็นมาตรฐานหรือเปล่า

ส่วนกรณีที่คุณทักษิณ หรือมาร์คถูกดูหมิ่นแล้วไม่แจ้งความ “อย่างผมหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งเอาหน้าผมไปใส่หน้าลิง แล้วพาดหัววรเจี๊ยก ลิงหลอกเจ้า ผมก็ไม่ได้ฟ้อง แต่ผมไม่ทำแล้วจะใช้เป็นบรรทัดฐานกับคนทั้งสังคมหรือเปล่า คือเข้าใจว่าควรจะทำเกณฑ์แบบเดียวกันคือเลิกไปเลย แต่ตราบเท่าที่คนในสังคมยังมองเป็นอีกแบบหนึ่ง จะทำอย่างไร”

สำหรับรัฐธรรมนูญญี่ปุ่น ทำโดยฐานที่ญี่ปุ่นแพ้สงครามแล้วอเมริกาเข้ามาจัดการกฎหมาย ส่วนอังกฤษนั้นเขายอมรับว่ายังไม่ได้ศึกษาให้ชัดเจน

คำถามว่าทำไมประมุขของรัฐถึงถูกคุ้มครองมากกว่าคนธรรมดา เพราะว่าประมุขของรัฐนั้นเป็นตัวแทนรัฐ เป็นสิ่งที่ represent รัฐ ในบริบทของบ้านเราอาจจะมีปัญหาอยู่ แต่ในการทำกฎหมายต้องเอาหลักการเป็นตัวตั้ง

สุรศักดิ์ ลิขสิทธิ์วัฒนกุล คณบดีคณะนิติศาสตร์ กล่าวปิดงานว่า ความคิดเห็นที่หลากหลายต้องได้รับการรับฟังไม่ว่าจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย และวิธีการแสดงออกนั้นต้องเคารพผู้อื่นด้วย ถ้าเราจะมีความคิดเห็นร่วมกันต้องแสวงหาความเห็นที่รับฟังกันด้วย เวทีวิชาการอย่างนี้จะทำให้ได้รับความรู้ วันหนึ่งทุกคนก็จะคิดได้เอง และสังคมเราอ่านน้อย และเขาต่อต้านความรุนแรงส่าด้วยวาจาหรือกำลัง แต่สังคมจะเจริญด้วยวัฒนธรรมพลเมือง

ที่มา prachatai

วันศุกร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2555

สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ : พ.ต.ท.ทักษิณ พรรคเพื่อไทย เกี้ยเซียะ



ในโอกาสวันสงกรานต์ พ.ศ.2555 นี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้เดินทางมายังประเทศลาว และพบปะกับคนเสื้อแดงจำนวนมาก ที่ข้ามพรมแดนไปเยี่ยม ในระหว่างนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวที่โรงแรมกรีน ปาร์ค บูติก โฮเต็ล นครเวียงจันทน์ โดยกล่าวอวยพร พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี ขอให้ พล.อ.เปรม มีสุขภาพแข็งแรงทั้งกายและใจ พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวด้วยว่า พล.อ.เปรม เป็นผู้ใหญ่ที่เคารพรัก ตอนที่อยู่เมืองไทยจะไปกราบคารวะเป็นประจำ แม้ พล.อ.เปรม จะอายุมาก แต่ยังแข็งแรง จึงอยากฝากความปรารถนาดีไปถึง และตั้งแต่เดินทางออกนอกประเทศ ไม่มีโอกาสได้พูดคุยหรือหารือปรึกษากันเลย

การแถลงของ พ.ต.ท.ทักษิณ ดังกล่าวถือได้ว่าเป็นการปรับเปลี่ยนท่าทีต่อ พล.อ.เปรม อย่างมาก เพราะนับตั้งแต่เกิดการรัฐประหาร 19 กันยายน พ.ศ.2549 เป็นต้นมา ท่าทีของขบวนการฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ ได้แสดงการต่อต้าน พล.อ.เปรม เสมอมา ด้วยเหตุผลว่า พล.อ.เปรมและองคมนตรีทั้งหลายเป็นกลุ่มสำคัญในการสนับสนุนการรัฐประหารทำลายประชาธิปไตย พ.ต.ท.ทักษิณเองก็เคยระบุในวันที่ 27 มีนาคม พ.ศ.2552 ว่า พล.อ.เปรม คือผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญตัวจริง และเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการรัฐประหาร สำหรับ พล.อ.เปรมก็แสดงท่าทีหลายครั้งที่ชี้ให้เห็นแนวคิดอันสวนทางกับฝ่ายพรรคเพื่อไทยและขบวนการเสื้อแดง เช่น การแสดงความชื่นชมและสนับสนุนรัฐบาลเผด็จการของ พล.อ.สุรยุทธ จุลานนท์ เมื่อ พ.ศ.2550 ต่อมา ตั้งแต่ พ.ศ.2552 ก็ได้กล่าวชื่นชมนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะหลายครั้ง โดยเฉพาะที่เคยระบุว่า “คนไทยโชคดีที่ได้นายกฯชื่ออภิสิทธิ์” ในทางตรงข้าม ในกรณีที่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ มาสมัครเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย พล.อ.เปรม กล่าวว่า เป็นการ “ทรยศชาติ” ดังนั้น การที่เป้าหมายในการเคลื่อนไหวของแนวร่วมประชาธิปไตยแห่งชาติ (นปช.) และขบวนการคนเสื้อแดงในระยะที่ผ่านมา ที่มุ่งจะต่อต้านอำมาตยาธิปไตย และถือกันว่า พล.อ.เปรม เป็นสัญลักษณ์ของฝ่ายอำมาตย์จึงเป็นสิ่งที่เข้าใจได้


ปัญหาคือ การปรับเปลี่ยนท่าทีของ พ.ต.ท.ทักษิณเช่นนี้ สะท้อนสถานการณ์อย่างไร และจะส่งผลกระทบต่อขบวนการประชาชนอย่างไร

ก่อนอื่นคงต้องอธิบายว่า การเปลี่ยนท่าทีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการประนีประนอม ที่ดำเนินมาแล้วนับตั้งแต่พรรคเพื่อไทยได้เข้าเป็นรัฐบาล และเป็นท่าทีเดียวกับนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร

ตั้งแต่วันที่ 19 มกราคม พ.ศ.2555 ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ได้ไปร่วมงานงานเลี้ยงรับรองเนื่องในวันกองทัพบก ที่สโมสรกองทัพบก ถนนวิภาวดีรังสิต เป็นครั้งแรกที่นายกรัฐมนตรีพบ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์  รายงานข่าวแจ้งว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็ได้ยกมือไหว้ พล.อ.เปรม 2 ครั้ง โดยที่ พล.อ.เปรม รับไหว้ และมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อยู่ระหว่างกลาง ทั้ง 2 ได้พูดคุยกันประมาณ 2-3 นาที ก่อนที่ พล.อ.เปรมจะเดินไปลงนามในสมุดอวยพร โดยมี น.ส. ยิ่งลักษณ์ เดินประกบคู่ไปด้วย จากนั้น พล.อ.เปรมได้เดินย้อนกลับมาและพูดคุยกับนายกฯ พร้อมใบหน้าที่ยิ้มแย้ม ในครั้งนั้นเป็นที่ฮือฮาของสื่อมวลชนอย่างมาก

ต่อมา วันที่ 10 กุมภาพันธ์ รัฐบาลได้จัดงาน ’รักเมืองไทย เดินหน้าประเทศไทย“ ที่ตึกสันติไมตรี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ได้รับเชิญมาเป็นประธานในงาน ในครั้งนี้ พล.อ.เปรมและ น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้สนทนากัน เดินเคียงคู่กันอย่างชื่นมื่น ซึ่งเห็นได้ว่าการจัดงานครั้งนี้เป็นความตั้งใจของฝ่ายรัฐบาลที่จะสร้างภาพแห่งความปรองดอง

ถ้าจะให้วิจารณ์กระบวนการเหล่านี้ คงไม่อาจกล่าวได้ว่า รัฐบาลยิ่งลักษณ์กระทำผิด เพราะต้องเข้าใจกันว่า รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่ใช่รัฐบาลปฏิวัติโค่นล้มอำมาตย์ แต่เป็นรัฐบาลประชาธิปไตยที่มีแนวทางประนีประนอม ยิ่งกว่านั้น เป้าหมายแห่งการปรองดองเพื่อความสามัคคีภายในชาติ น่าจะเป็นเป้าหมายสูงสุดของทุกฝ่าย ดังนั้น พรรคเพื่อไทย และ นปช.จึงยุติการโจมตี พล.อ.เปรมมานานแล้ว เพราะอาจจะถือได้ว่า การมุ่งกล่าวถึงการล้มล้างฝ่ายอำมาตย์จะไม่เป็นผลดีต่อความสามัคคีที่รัฐบาลจะต้องสร้างขึ้น เพียงแต่ว่าการปรองดองที่เกิดขึ้นนั้น ต้องมีการดำเนินการอีกหลายอย่างซึ่งอาจจะถือได้ว่าเป็นการแลกเปลี่ยน เช่น

การที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยมีท่าทีไม่แตะต้องกองทัพบกเลย ในกรณีปราบปรามเข่นฆ่าประชาชนเมื่อเดือนเมษายน-พฤษภาคม พ.ศ.2553 เป้าหมายของการโจมตีกรณีนี้ มุ่งไปที่ สุเทพ เทือกสุบรรณ และ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เท่านั้น การไม่แตะต้องกองทัพ ไม่ขัดแย้งกับ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แสดงให้เห็นถึงความพยายามที่จะผ่อนปรนไม่ให้เป็นศัตรูกับกองทัพ
   
รัฐบาลพรรคเพื่อไทย แสดงท่าทีชัดเจนในการไม่สนับสนุนข้อเสนอเรื่องการปฏิรูปกฎหมายอาญามาตรา 112 และนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ เคยขอต่อฝ่ายนิติราษฎร์เสียด้วยซ้ำ ให้ยุติการเคลื่อนไหวเรื่องนี้ ทั้งที่ การที่รัฐบาลไม่ดำเนินการเรื่องนี้ หมายถึงการละเลยปัญหาเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชน ไม่ผลักดันในเรื่องเสรีภาพทางความคิด และเมินเฉยต่อคำตัดสินอันละเมิดหลักยุติธรรมของผู้พิพากษาทั้งหลาย
   
รัฐบาลพรรคเพื่อไทย ดำเนินการอย่างเชื่องช้าในการช่วยเหลือประชาชนคนเสื้อแดงจำนวนมากที่ร่วมต่อสู้มาด้วยกัน และยังคงติดอยู่ในคุก ในขณะนี้ ทั้งที่รัฐบาลบริหารประเทศมาแล้วถึง 8 เดือน ก็ยังมีมิตรสหายที่ถูกคุมขังอยู่เกือบ 60 คน
   
แม้ว่าจะมีกระแสในการผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย แต่การดำเนินการของพรรคเพื่อไทยในขั้นนี้ ก็มีเพียงแค่การผลักดันให้มีการตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ หรือ สสร. โดยไม่มีการกล่าวถึงเนื้อหาแห่งการแก้ไข ซึ่งหมายถึงว่า พรรคเพื่อไทยกำลังและเขียน ”เช็คเปล่า” ให้แก่คณะบุคคลที่จะมาแก้ไขรัฐธรรมนูญในวันข้างหน้า หลักประกันที่จะสร้างประชาธิปไตยในสังคมไทยจึงไม่ชัดเจน

ภายใต้บรรยากาศทางการเมืองเช่นนี้ ฝ่ายขบวนการประชาชนคงจะต้องพิจารณาบทบาทของพรรคเพื่อไทยอย่างเป็นจริง และคงต้องยอมรับว่า การผลักดันให้ พ.ต.ท.ทักษิณ แสดงท่าทีเชิงปฏิวัติสังคมคงจะเป็นการยาก ในส่วนรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็คงต้องแสดงบทบาทเป็นรัฐบาลสมานฉันท์ต่อไป แต่ยังน่าจะต้องถือว่า รัฐบาลและพรรคเพื่อไทยยังคงเป็นมิตรในแนวร่วม จึงยังไม่จำเป็นถึงขนาดที่จะต้องคว่ำบาตรหรือต่อต้านรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และคงต้องเข้าใจสถานะของ พ.ต.ท.ทักษิณที่ไม่สามารถชูธงต้านอำมาตย์ได้เหมือนเดิม

ท่าทีของฝ่ายประชาชนในขณะนี้ คือ ควรจะต้องเป็นอิสระจากพรรคเพื่อไทย สามารถที่จะเลือกสนับสนุนนโยบายบางด้าน และแสดงท่าทีไม่สนับสนุนนโยบายบางด้านได้ การปรองดองหรือการประนีประนอมกับฝ่ายอำมาตย์อย่างไร้หลักการ เราก็คงจะต้องไม่เห็นด้วย และยังต้องเรียกร้องผลักดันให้รัฐบาลพรรคเพื่อไทยไปต่อสู้ในเรื่องสำคัญ เช่น เรื่องสิทธิมนุษยชน การต่อสู้กับพวกขวาจัด หรือผลักดันการแก้รัฐธรรมนูญให้นำมาซึ่งหลักการที่เป็นประชาธิปไตยแท้จริง เป็นต้น

แต่การสนับสนุนข้อเสนอของนิติราษฎร์ ทั้งในเรื่องการลบล้างผลพวงของการรัฐประหาร และการปฏิรูปกฏหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพตามมาตรา 112 คงต้องดำเนินต่อไป ไม่ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ พรรคเพื่อไทย หรือ รัฐบาลยิ่งลักษณ์จะมีท่าทีอย่างไร เพราะบทบาทในการสร้างประชาธิปไตยอย่างแท้จริงในสังคมไทยอยู่ในมือของประชาชน ยิ่งเสียกว่ารัฐบาลพรรคเพื่อไทย

ที่มา prachatai

วันจันทร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2555

สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล : เบรกครม.ดำหัว "เปรม" ชี้ไม่จำเป็นทางกฎหมาย - นิติรัฐ - รธน.



อ้างอิง : "ป๋าเปรม"ไฟเขียวนายกฯ นำคณะรัฐมนตรีรดน้ำดำหัวเทศกาลสงกรานต์ 26 เม.ย. "ลูกป๋า"ชี้เป็นขนบธรรมเนียมไทย


"สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล" ชี้ ครม.ดำหัวเปรมคือ "ส่งเสริมการปฏิบัติที่ไม่ถูกต้อง"

ต่อข่าวดังกล่าว นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล นักวิชาการประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้แสดงความเห็นเมื่อเวลาประมาณ 21.00 น. วันนี้ (22 เม.ย.) ต่อกรณีนายกรัฐมนตรีและ ครม. เตรียมเข้ารดน้ำดำหัว พล.อ.เปรม โดยนายสมศักดิ์ ได้โพสต์แสดงความในเฟซบุค ตั้งค่าการเข้าถึงสาธารณะ มีรายละเอียดดังนี้

ตำแหน่งองคมนตรี เป็นที่ปรึกษาของพระมหากษัตริย์ ตามรัฐธรรมนูญ ก็ไม่มีกำหนดไว้เลยให้มีหน้าที่เกี่ยวข้องโดยตรงใดๆ กับคณะรัฐมาล

อันที่จริง องคมนตรีควรไม่มีบทบาททางสาธารณะใดๆ เลยด้วยซ้ำ เพราะถ้ามี แล้วมีปัญหาใดๆ ขึ้นมา ย่อมกระทบถึงสถาบันกษัตริย์ (อันทีจริง ทางกฎหมายต้องถือว่าองคมนตรีเป็นส่วนหนึงของสถาบันกษัตริย์)

ตำแหน่งประธานองคมนตรี ก็ไม่ได้มีกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญว่า ต้องถือเป็นตำแหน่งพิเศษอะไร

การที่ รัฐบาล และพรรคเพื่อไทย จะเลิกวิพากษ์วิจารณ์โจมตี พล.อ.เปรม นั้น ก็แล้วแต่

แต่อันที่จริง ถ้าพูดในแง่ของกฎหมาย หลักทางนิติรัฐ และรัฐธรรมนูญ ก็ไม่มีความจำเป็นต้อง มีการนำคณะรัฐมนตรีไปแสดงความเคารพอะไร พล.อ. เปรม ในลักษณะทางการเช่นนี้

คือต่อให้หยุดโจมตี พล.อ.เปรมแล้ว ก็ไม่มีเหตุผลเชิงหลักการ เชิงกฎหมาย หรือนิติธรรม อะไร ที่ต้องให้ความสำคัญพิเศษ หรือแสดงการเคารพเป็นพิเศษต่อตัว พล.อ.เปรม

จะว่าไปแล้ว ในประวัติศาสตร์ ก็มีแต่ พล.อ.เปรม ที่วางตัวไม่เหมาะสมกับการเป็นประธานองคมนตรี คือออกมามีบทบาทสาธารณะ และการเมือง อย่างโจ่งแจ้ง โดยไม่เกรงต่อข้อกำหนด รัฐธรรมนูญ (แสดงการฝักใฝ่พรรคการเมืองไม่ได้) และความเหมาะสม เชิงมารยาท และการปฏิบัติทางการเมือง (คนอื่นมีบทบาทแทรกแซงการเมือง ไมใช่ไม่มี แต่อย่างน้อย ยังรู้จักทำแบบหลบๆสายตาคนทั่วไป ไมใช่ทำแบบโจ่งแจ้งเช่นนี้)

พูดง่ายๆ คือ ไม่โจมตี เปรม ก็แล้วไป แต่ไม่มีความจำเป็นใดๆ ทีต้องไปส่งเสริมการปฏิบัติที่ไม่ถูกต้องเช่นนี้

หมายเหตุ: ตามรายงานข่าวนี้ ที่ "ลูกป๋า" อ้างว่า "เป็นขนบธรรมเนียมไทย" นั้น เป็นการพูดแบบไม่รู้เรื่องรู้ราว "ขนบธรรมเนียม" ของการมีองคมนตรี (ตั้งแต่ 2492 เป็นต้นมา) ไม่เคยมีการให้ความสำคัญกับตำแหน่งประธานองคมนตรีในลักษณะนี้เลย และจะอ้างว่า นี่เป็นเรื่อง "ส่วนบุคคล" ก็ไม่ได้ เพราะที่จะไปกัน ไปในฐานะ คณะรัฐมนตรี ทั้งคณะ และที่ไป ก็ไมใช่เพราะ พล.อ.เปรม คือ นาย เปรม ที่ไหน"

ที่มา prachatai

วันเสาร์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2555

ใจ อึ๊งภากรณ์ : ทักษิณจับมือกับทหารบนซากศพวีรชนแล้วเล่นละครค้านพรรคประชาธิปัตย์



โดย ใจ อึ๊งภากรณ์

ในบทสัมภาษณ์ทักษิณ โดยจอม เพชรประดับ ในวันที่ 17 เมษายนปีนี้ที่เขมร ทักษิณยืนยัน (ในนาทีที่ 7) ว่า “คนที่ฆ่าคน 91 ศพไม่ต้องเข้าคุก” แค่คำพูดสั้นๆ อันนี้เป็นการหักหลังวีรชนเสื้อแดงที่เสียสละเพื่อประชาธิปไตย และเป็นการถุยน้ำลายใส่คนเสื้อแดงที่ติดคุก แต่เสื้อแดงก้าวหน้าคงไม่แปลกใจเพราะเรารู้มานานแล้วว่ารัฐบาลพรรคเพื่อไทย ที่มีทักษิณเป็นที่ปรึกษา มีข้อตกลงกับทหารอำมาตย์ตั้งแต่การเลือกตั้งปีที่แล้ว ข้อตกลงนี้เห็นชัดจากการที่รัฐบาลเร่งใช้กฎหมาย 112 เพื่อปิดปากคนก้าวหน้าอย่างบ้าคลั่ง และไม่ดำเนินเรื่องอะไรทั้งสิ้นในการจับฆาตกรจากปี ๒๕๕๓ มาขึ้นศาล ฆาตกรดังกล่าวคือ ประยุทธ์ อนุพงษ์ อภิสิทธิ์ และสุเทพ พร้อมกันนั้นเราเห็นภาพยิ่งลักษณ์กอดคอกับประยุทธ์และอ่อนน้อมต่อเปรม ในกรณีเปรม ซึ่งเคยโดนทักษิณ นักการเมืองเพื่อไทย และแกนนำ นปช. ด่าแล้วด่าอีก ตอนนี้ทักษิณกลับลำพูดว่า “เปรมไม่เคยยุ่งการเมือง” (ดูประมาณนาทีที่ 11 ในวิดีโอ)

การไม่ยอมนำฆาตกรของรัฐอำมาตย์มาขึ้นศาลในกรณีที่ส่งทหารสไนเปอร์ไปฆ่าคนเสื้อแดงที่ราชประสงค์และผ่านฟ้า เป็นการผลิตซ้ำวัฒนธรรมเลวทรามของอำมาตย์ไทยที่ฆ่าประชาชนมือเปล่าในเหตุการณ์ ๑๔ ตุลา ๖ ตุลา พฤษภา ๓๕ และตากใบ ๔๗ แล้วลอยนวลเสมอ มันเป็นการผลิตซ้ำ “สิทธิ” อันไร้ความชอบธรรมของทหารที่จะแทรกแซงการเมืองต่อไปอีกนาน มันตรงข้ามกับกระแส “นิติราษฎร์” และกระแสปฏิรูปกฎหมายอำมาตย์ 112 ที่หวังสร้างสิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตย และเราไม่ควรลืมว่าทักษิณเองน่าจะถูกลงโทษในฐานะที่เป็นนายกรัฐมนตรีตอนที่ชายมือเปล่าจำนวนมากโดนทหารและตำรวจฆ่าที่ตากใบในภาคใต้

เป้าหมายหลักของทักษิณและเพื่อไทยคือการกลับไปสู่ความ “ปกติ” ของระบบอำมาตย์ที่มีการเลือกตั้งเป็นฉากบังหน้า และมีลัทธิ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ไว้ให้ความชอบธรรมกับความโลภและความชั่วทุกอย่างของชนชั้นปกครอง ทักษิณและพรรคพวกเป็นคนจงรักภักดีมาตั้งแต่แรก และไม่มีการเปลี่ยนแปลง เป้าหมายสำคัญอีกอันคือการกลับสู่ประเทศไทยของทักษิณ ทักษิณพูดว่าหวังจะได้กลับในปี “มหามงคล” และทั้งหมดนี้กระทำบนซากศพวีรชนเสื้อแดง พร้อมกับถุยน้ำลายใส่นักโทษการเมือง โดยเฉพาะนักโทษ 112

ในขณะที่ทักษิณและเพื่อไทยกอดคอกับทหาร มีการเล่นละครรัฐสภา เพื่อสร้างภาพความขัดแย้งระหว่างเพื่อไทยกับพรรคประชาธิปัตย์ โดยหวังว่าคนเสื้อแดงจะลืมอาชญากรรมของทหาร และทักษิณโกหกสร้างประวัติศาสตร์ใหม่ของวิกฤตการเมืองไทยว่าเป็นแค่ “ความขัดแย้งระหว่างสองพรรคการเมืองและผู้ที่สนับสนุน” (ดูวิดีโอนาทีที่ 11) แต่วิกฤตไทยนำไปสู่การแบ่งขั้วอย่างรุนแรงระหว่างคนเสื้อแดงที่รักประชาธิปไตยและอยากเห็นเสรีภาพ กับฝ่ายที่สนับสนุนอำมาตย์และระบบกึ่งเผด็จการกึ่งเลือกตั้ง ทักษิณโกหกอีกว่าชัยชนะของพรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้งที่ผ่านมา “แสดงว่าประชาชนต้องการการปรองดอง” และทักษิณตีความต่อไปอย่างตอแหลว่า ประชาชนต้องการการปรองดองที่ไม่นำทหารและนักการเมืองที่ฆ่าเสื้อแดงเข้าคุก

เราจะสังเกตเห็นว่าคนเสื้อแดงที่ชื่นชมยิ่งลักษณ์เหลือเกิน มักด่าแต่อภิสิทธิ์และประชาธิปัตย์ แต่ไม่ด่าทหาร... ประยุทธ์ อนุพงษ์ หรือแม้แต่เปรม ก็เพราะตอนนี้ทักษิณ และเพื่อไทย จับมือปรองดองกับทหารแล้ว และแกล้งเล่นละครคัดค้านประชาธิปัตย์เพื่อเบี่ยงเบนประเด็น แต่ที่สำคัญคือพรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยมีอำนาจอะไร เป็นแค่หุ่นหรือของเล่นของทหารอำมาตย์เท่านั้นเอง

การที่ นปช. มัดตัวเข้าไปใกล้ชิดกับรัฐบาลเพื่อไทย จนกลายเป็นแค่กองเชียร์ให้รัฐบาล และเสนอแต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในการแก้รัฐธรรมนูญ ในขณะที่มีการมองข้ามประเด็นใหญ่ในสังคม เช่น 112 ทำให้ นปช. หมดสภาพในการเป็นขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมที่อิสระ ดังนั้นบทบาท นปช. ตอนนี้คือการสลายและสกัดกั้นไม่ให้เสื้อแดงเคลื่อนไหวอย่างเดียว

นี่คือสาเหตุที่คนเสื้อแดงก้าวหน้าทุกคนต้องให้ความสำคัญอย่างยิ่งในการจัดตั้งองค์กรที่อิสระจาก นปช. และเพื่อไทย แค่เครือข่ายหลวมๆ จะไม่พอกับภาระอันยิ่งใหญ่ในการปลดแอกประเทศไทยจากอำมาตย์

ที่มา prachatai

วันศุกร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2555

สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล : วิจารณ์ทักษิณกรณีไม่เอาฆาตกรฆ่า 91 ศพเข้าคุก


ทักษิณ ชินวัตร?ก็ลูกสาวคุณไม่ได้ตายนี่ครับ
คุณทักษิณ คุณเคยมีความรู้สึกแบบนี้บ้างมั๊ย...
ผมไม่เคยเห็นลูกคุณ หรือคนในครอบครัวคุณมาร่วมเป็นร่วมตายกับพวกเราเลย แล้วคุณถือดีอย่างไรมาพูดเช่นนั้น!!

สำหรับผมในเวลานี้ ตระกุลชินวัตร คุณมันแค่ "ขยะ" เท่านั้น ไม่ต่างไปจากพวกระยำที่ทำเพื่ออำนาจตัวเองเลย แม้แต่น้อย

โดย ปีกสีชาด
                ................................................



มีประเด็นอะไรที่ คนที่ออกมาดีเฟนด์ ทักษิณ-เพื่อไทย-นปช. จะยอมรับว่า วิจารณ์ได้ มีน้ำหนัก เป็นจุดอ่อนจริงๆ?

คือ ผมจะยกตัวอย่างรูปธรรมล่าสุดอันหนึ่ง

หลายคนคงเห็นคลิปสัมภาษณ์ ทักษิณ โดย จอม เพชรประดับ
ที่ทักษิณพูดถึงการที่ยุทธศาสตร์ปรองดอง หมายถึง การไม่เอาผิด "คนที่ฆ่าคน 91 คน"

อันนี้ จริงๆ เป็นอะไรที่ผมไม่เซอร์ไพรส์ เพราะพูดแบบนี้มาเป็นปีแล้ว

แต่ที่ผมว่า น่าเซอร์ไพรส์ มากๆคือ

ในห้องปิดห้องหนึ่ง ที่มีคนที่ดีเฟนด์ ทักษิณ-เพื่อไทย-นปช. อยู่กันมากๆ

พอมีคนโพสต์คลิปนี้ และคำพูดนี้ ก็ยังอุตส่าห์ มีพวกดีเฟนด์ หลายคน มาแย้งในทำนองที่ว่า ไมใช่อย่างนั้น คือ ราวกับว่า นี่ไมใช่ทักษิณพูดจริงๆด้วยซ้ำ

คือ แม้แต่ความจริง (ที่ทักษิณ คอนเฟิร์ม เอง) ว่า ยุทธศาสตร์ปรองดอง หมายถึง จะไม่มีการเอาผิด "คนสั่งฆ่า"

ก็ไม่ยอมรับกันว่าเป็นความจริง

ผมจึงตั้งเป็นคำถาม เปรียบเทียบให้คิดว่า สถานการณ์มันเหมือนกับ กรณีรอยัลลิสต์ มากๆ

คือ ไม่ว่าประเด็นอะไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นข้อเท็จจริง ที่เห็นกันโจ่งแจ้งมากๆก็ตาม (เช่น เจ้าฟ้าเพ็ชรัตน์ เป็นเจ้าที่แทบไม่มีคนรู้จัก หรือแคร์) ก็ต้องยืนยัน ไม่ยอมรับ ว่าเป็นความจริง

ที่มา fb สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล

 .........................................

ผมใช้ความคิดพอสมควร ในการตัดสินใจเขียนกระทู้นี้ ผมขออนุญาต ไม่เล่ารายละเอียด แบ็กกราวน์เบื้องหลัง ประเด็นเรื่อง การสร้าง "แรงกดดัน" ที่พูดถึงในกระทู้ แต่ยืนยันว่า ได้เกิดขึ้นจริงๆ

ผมหวังว่า ข้อความนี้ จะถึงหู แกนนำ เพื่อไทย-นปช. อันที่จริง ถ้าสามารถถึงหูคุณทักษิณได้จะยิ่งดีมาก

ประเด็นเรื่องที่ผม หรือหลายคน ไม่เห็นด้วยกับการเอาอิสรภาพของคนที่ยังอยู่ในคุก ไปผูกอยู่กับเรื่องการช่วย "ปลดคดี" และนำคุณทักษิณกลับนั้น (เราเห็นว่า ควรช่วยคนในคุกนั้นออกมาทันที เพื่อความยุติธรรมต่อพวกเขา)

เป็นอะไรที่ ถ้าทาง พรรค-นปช. ไม่เห็นด้วย ก็คงไม่ทำอยู่แล้ว อย่างที่เห็นๆกัน

แต่ที่ผมอยากขอร้อง เรียกร้อง อย่างมากคือ
ไม่ควรเอาเรื่องอิสรภาพของคนเหล่านั้น มาสร้าง "แรงกดดัน" ต่อคนจำนวนหนึ่ง ที่สูญเสียญาติไปในระหว่างการปราบปราม และรับไม่ได้กับการที่ พรรค กำลังดำเนินนโยบาย "ปรองดอง" ที่จะยกเว้นความผิดให้ "คนสังฆ่า" ด้วย (ดังที่คุณทักษิณยืนยันต่อ จอม เพ็ชรประดับ อีกครั้ง ไมกี่วันก่อน)

คือ ไป "กดดัน" ว่า ถ้าคนที่เสียญาติเหล่านั้น ยังคงเคลื่อนไหว เรียกร้องเรื่อง "เอาผิด คนสังฆ่า" อยู่ จะพลอยทำให้ กระบวนการ "ปรองดอง" ล่าช้า แล้วเลยทำให้อิสรภาพของคนคุกเหล่านั้น ล่าช้า

การทำแบบนี้ ไม่ถูกต้องอย่างแรงมากๆ

พวกท่าน จะเดินหน้า ยุทธศาสตร์ปรองดองเช่นนี้ ก็ทำไป ไม่มีใคร มีอำนาจพอจะไปห้ามได้

แต่คนที่เขาเสียญาติไปกับเหตุการณ์ เขามีความชอบธรรม เต็มที่ ที่จะยืนยันเคลื่อนไหวต่อไป

และการที่ คนคุกตอนนี้ ไม่ได้อิสรภาพ หรือ อาจจะได้อิสรภาพ ช้าไป ก็ไม่เกียวกับการเคลื่อนไหวของพวกเขาเลย

เพราะจริงๆ มีหนทางที่จะช่วยคนคุกออกมาได้ทันที แต่พรรค "เลือกที่จะไม่ทำเอง" และเอาไปผูกกับเรื่องคุณทักษิณ ที่ทำให้ ยากลำบากขึ้นมาก
ดังนั้น ถ้าคนคุกเหล่านั้น ต้องออกจากคุกล่าช้า (ตามความลำบากของกระบวนการช่วย "ปลดคดี" - นำกลับบ้าน คุณทักษิณ)

ก็ต้องถือว่า เป็นความรับผิดชอบของพรรค-นปช. เอง
ที่มา fb สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล

..............................................

กระทู้นี้ ต่อเนื่องจากกระทู้ที่เพิ่งโพสต์เมื่อครู่ข้างล่าง

วันก่อนที่คุณทักษิณ พูดต่อสาธารณะว่า
""แม้แต่แม่ของ น.ส.กมลเกด อัคฮาด พยาบาลอาสาที่เสียชีวิตระหว่างสลายชุมนุมราชประสงค์ แม้ยังไม่หายโกรธที่ลูกถูกทหารยิง และไม่อยากให้มีนิรโทษกรรม ก็เป็นเรื่องธรรมดาแต่เราต้องฟังประโยชน์ส่วนใหญ่ และให้ส่วนน้อยยอมเสียสละ ...""

ผมเห็นว่า ไม่ถูกต้องหรอก เพราะจริงๆ เรื่องที่คุณ "แม่น้องเกด" เรียกร้องนี้ ไม่ใช่ ท้้ง "เรื่องส่วนตัว" และไม่ใช่เรื่อง "คนส่วนน้อย" (ที่ต้องมา "เสียสละ" ให้ "คนส่วนใหญ") แต่อ่ย่างใด ทั้งสิ้น

แต่เป็นการพยายามสร้าง "บรรทัดฐาน" ของ "นิติรัฐ" ให้เกิดขึ้นในประเทศนี้ 

 
ว่าการฆ่าคนบริสุทธิ์จำนวนมากโดยรัฐ โดยไม่มีใครจะรับผิดชอบเช่นนี้ เป็นเรื่องที่ไม่ควรยอมรับเลย ในประเทศประชาธิปไตย

นี่เป็นเรื่องของคนส่วนใหญ่ที่สุด เป็นเรื่องของอนาคตของประเทศ และประชาธิปไตย

และอย่างน้อยๆที่สุด ในระยะเฉพาะหน้า ในปัจจุบัน ต่อให้ไม่มีผลทางปฏิบัติขึ้นมา ก็ยังเป็นการริเริ่มสร้าง "วัฒนธรรมการเมือง" ที่ถูกต้อง ขึั้น

พูดกันจริงๆ จะว่าไปแล้ว การที่คนที่มีฐานะและอำนาจมหาศาลอย่างคุณทักษิณ พูดสาธารณะแบบนี้ ก็ไม่ค่อย "แฟร์" ต่อ คุณ "แม่น้องเกด" ที่เป็นคนตัวเล็กๆ ไม่มีกลไก ไม่มีอำนาจอะไรจะไปโต้แย้ง วิจารณ์ได้นัก

แต่เอะเถอะ ในเมื่อคุณทักษิณพูดไปแล้ว

ผมก็ขอเรียกร้องให้ เพื่อไทย-นปช. โดยเฉพาะเรียกร้องไปยัง คุณตู่ คุณเต้น และแกนนำ นปช คนอื่นๆ ที่เป็นผู้นำการชุมนุม ที่นำไปสู่เหตุการณ์การเสียชีวิตของ "น้องเกด" เอง
ได้โปรด "อย่าไปสร้างการกดดัน ให้คนอย่าง แม่น้องเกด" หรือ ญาติผู้เสียชีวิตคนอื่นๆ ที่ไม่เห็นด้วยกับทิศทาง "ปรองดอง" ที่พวกท่านกำลังดำเนินอยู่ ที่จะเป็นการยกเว้นความผิดให้ "คนสั่งฆ่า"

จะ "ปรองดอง" ยังไงก็ทำไป ไมมีใครห้ามได้

แต่ได้โปรดอย่าสร้างการกดดัน ขัดขวาง ไม่ให้คนที่เขาไม่เห็นด้วยกับทิศทาง "ปรองดอง" นี้ ไม่ให้เคลื่อนไหว เรียกร้องต่อไป

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม่ควรเอาข้ออ้าง เรื่องอิสรภาพของคนที่ยังอยู่ในคุก มาใช้

อันนี้ ขอร้อง อย่างจริงใจว่า ได้โปรดเถิด

เท่าที่ พรรค-นปช. เลือกเดินทิศทาง "ปรองดอง" นี้ ก็สร้างความเจ็บปวดให้แก่ญาติผู้เสียชีวิตเหล่านั้น มากเกินไปแล้ว

โปรดอย่าได้กดดัน กีดกัน ผลักไส พวกเขา ให้ "ไม่มีที่ยืน ไปมากกว่านี้"

วันพฤหัสบดีที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2555

เรื่องเล่าจากคุก : กระบวนการยุติธรรมไทย และชะตากรรมคน 8 คุก (ป้อม M79)

หลังจากที่ผมถูกจับกุมในวันที่ 21 พฤศจิกายน 2553 ผมถูกนำตัวขึ้นรถกระบะซึ่งเป็นรถที่ไม่ได้ใช้ในราชการเดินทางจากกรุงเทพในเวลา  20.30 น.มุ่งหน้าสู่จังหวัดเชียงใหม่ ผมถึงเชียงใหม่ในเวลา 06.30น. ของเช้าวันที่ 22 พฤศจิกายน เมื่อถึงเชียงใหม่ทางเจ้าหน้าที่จึงเริ่มสอบสวนผมในทันที โดยสอบปากคำผมถึงเวลา 05.30น.ของเช้าวันที่ 23 พฤศจิกายน โดยไม่ยอมให้ผมนอนเลยตั้งแต่ผมถูกจับตัวมา และยังไม่ยอมให้ผมได้ติดต่อกับทางครอบครัวหรือทนายเลย

จนถึงเวลา 06.30น.ของเช้าวันที่ 23 พฤศจิกายน ทางเจ้าหน้าที่จึงนำตัวผมไปที่สนามบินนานาชาติเชียงใหม่ เพื่อเดินทางไปแถลงข่าวการจับกุมที่ บช.น. ภาค 1 โดยสายการบิน Air Asia ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ผมได้แถลงข่าวกับ พล.ต.อ อัศวิน ขวัญเมือง และพล.ต. ต วิชัย สังข์ประไพ พร้อมนักข่าวอีกมากมาย หลังแถลงการณ์เสร็จ ผมได้ถูกนำตัวกลับเชียงใหม่ โดยสายการบินไทย เพื่อสอบสวนต่อจนถึงเที่ยงคืน ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงยินยอมให้ผมนอน เนื่องจากสภาพร่างกายของผมทนไม่ไหวแล้ว จนถึงเวลา 07.30น.ของเช้าวันที่ 24 พฤศจิกายน ผมถูกส่งตัวให้ DSI เพื่อสอบสวนต่อ ทาง DSI ได้พูดจาข่มขู่ผมตลอดเวลา ผมถูก DSI สอบสวนอยู่ 2 วัน ผมจึงขอกลับไปหาเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพราะผมทนพฤติกรรมของพวกเค้าไม่ไหว

ในเช้าวันที่ 26 พฤศจิกายน ผมถูกส่งตัวเข้ากรุงเทพเพื่อมาแถลงข่าวอีกครั้ง ซึ่งตั้งแต่ผมถูกจับกุมจนถึงวันที่ 26 พฤศจิกายน ทางเจ้าหน้าที่ไม่ยอมให้ผมติดต่อกับใครเลย หลังจากแถลงข่าวเสร็จ ผมจึงถามเจ้าหน้าที่เรื่องสิทธิในการติดต่อญาติ ทางเจ้าหน้าที่จึงบอกว่ากลับถึงเชียงใหม่ก่อน เช้าวันที่ 27 พฤศจิกายน ทางเจ้าหน้าที่จึงให้ผมติดต่อกับญาติ ทุกคนดีใจมากเพราะเห็นแต่ข่าว แต่ไม่รู้ว่าผมอยู่ไหน เช้าวันที่ 28 พฤศจิกายน ทุกคนจึงมาเยี่ยมผมที่สถานีตำรวจภูธรภาค 5 จังหวัดเชียงใหม่ วันนั้นเป็นวันแรกที่ผมได้เจอครอบครัว เพราะหลังจากที่ผมออกมาต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ตั้งแต่เดือน มีนาคม 2553 ผมก็ไม่ได้เจอกับครอบครัวอีกเลย ญาติผมทุกคนก็สอบถามเรื่องการประกันตัวจากทางเจ้าหน้าที่ แต่ผมถูกคัดค้านการประกันตัว

วันที่ 3 ธันวาคม 2553 ผมถูกส่งตัวเข้าเรือนจำเชียงใหม่ เป็นครั้งแรกที่ผมต้องใช้ชีวิตอยู่ในเรือนจำ ผมถูกส่งตัวเข้าสู่แดนความมั่นคงสูง (กีดกัน) ในทันที ห้องที่ผมนอนกว้าง 5 x 15 เมตร มีจำนวนผู้ต้องขัง 36 คน ซึ่งแต่ละคนเป็นคดีอุจฉกรรจ์ทั้งสิ้น ผู้ต้องขังทุกคนเคยออกข่าวทางโทรทัศน์และหนังสือพิมพ์มาแล้วทั้งสิ้น แดนความมั่นคงสูงอยู่ที่ชั้น 5 ของตึก ในแดนมีห้อง 5 ห้องจำนวนผู้ต้องขัง 120 คน เป็นแดนเดียวของเรือนจำเชียงใหม่ที่ผู้ต้องขังไม่เคยเห็นดิน และไม่เคยถูกแสงแดดเลย เวลาซักผ้าก็ผึ่งกับพัดลม เวลาญาติมาเยี่ยมก็เยี่ยมผ่านกล้องวีดีโอ เรื่องอาหารก็ค่อนข้างดี เป็นข้าวสวย 6 เดือน ข้าวเหนียว 6 เดือน ตลอดเวลาที่ผมอยู่ที่นั่น ผมกดดันมาก แต่โชคดีที่ผู้ต้องขังในแดนชื่นชอบพรรคเพื่อไทย เพราะเมื่อไหร่ที่พรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล การอภัยโทษหรือลดโทษของผู้ต้องขังนั้นพรรคเพื่อไทยได้ให้มากกว่าที่พรรคอื่นให้ ทุกคนจึงมาคุยสอบถามข้อมูลข่าวสารจากผมตลอดเวลา จึงทำให้ผมพอหายเหงาได้บ้าง และวิธีคลายเครียดที่ดีที่สุดของผมก็คือ การอ่านหนังสือธรรมะและสวดมนต์ก่อนนอน เพราะตัวผมเองนับถือเจ้าแม่กวนอิมอยู่แล้ว

การใช้ชีวิตในเรือนจำเชียงใหม่ของผมนั้น ผมอยู่ด้วยความยากลำบาก เนื่องจากทางญาติไม่มีเงินและอยู่ไกล และทุกคนก็ลำบากอยู่แล้ว ผมจึงรบกวนเงินทางบ้านเดือนละ 800 บาทเพื่อไว้ซื้อของใช้ ทุกๆ วันที่ผมอยู่ที่นั่นผมคิดถึงแต่เรื่องครอบครัวและเรื่องการประกันตัวตลอดเวลา แต่ยื่นประกันตัวกี่ครั้งก็ไม่เคยผ่าน ผมเลยลุ้นให้มีการเลือกตั้งเร็วๆ โดยการถามข่าวการเมืองจากผู้คุมทุกวัน เพราะที่นั่นไม่ให้ดูข่าว พอผมทราบมาว่าพรรคประชาธิปัตย์ยอมให้มีการเลือกตั้ง ในวันที่ 3 กรกฎาคม ผมจึงเชิญชวนผู้ต้องขังที่มีญาติมาเยี่ยมให้ช่วยกันเลือกพรรคเพื่อไทย ซึ่งทุกคนพร้อมใจกันบอกญาติให้เลือกพรรคเพื่อไทย ถึงมันจะเป็นการกระทำที่เล็กๆ น้อยๆ แต่ผมขอให้ผมได้ทำอะไรเพื่อพรรคการเมืองที่ผมรักบ้างก็ยังดี และในวันที่ชัยชนะมาถึง วันที่ 4 กรกฎาคม 2554 ผมได้ทราบข่าวการเลือกตั้งจากผู้คุมว่า พรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้ง ทุกๆ คนดีใจกันมาก ซึ่งนั่นหมายถึงการอภัยโทษที่จะมาถึงในวันที่ 5 ธันวาคม 2554 ที่จะมาถึงนี้ ซึ่งเป็นวันเฉลิมพระชนม์พรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ครบรอบ 84 พรรษาซึ่งพรรคเพื่อไทยจะเป็นผู้ดำเนินการนั่นเอง ซึ่งผมก็ดีใจเพราะผมจะได้มีโอกาสในการยื่นประกันตัวอีกครั้ง แต่แล้วความฝันของผมก็พังทลายลงไป

เช้าวันที่ 28 กรกฎาคม 2554 มีคำสั่งย้ายผมด่วน เนื่องจากกลัวว่าจะมีคนช่วยผมออก ผมถูกส่งตัวไปยัง เรือนจำกลางพิษณุโลก ระหว่างการย้ายทางเจ้าหน้าที่ไม่ยินยอมให้ผมเข้าห้องน้ำเลย ทั้งๆ ที่ขาทั้ง 2 ข้างของผมก็มีเครื่องพันธนาการ (โซ่ตรวน) อยู่ ไม่มีอาหารให้รับประทาน ทันทีที่มาถึงเรือนจำกลางพิษณุโลก ผมก็ถูกส่งตัวเข้าสู่แดน 2 โดยไม่ถอดเครื่องพันธนาการออก ห้องที่ผมนอนกว้าง 5 x 9 เมตรมีผู้ต้องขัง 16 คนอากาศที่นี่ดีมากๆ เพราะมีต้นไม้และสนามหญ้า แต่ผมก็ไม่ได้ออกจากห้อง เพราะผมต้องถูกขังเดี่ยว ทุกวันผมเฝ้ามองธรรมชาติผ่านลูกกรง ถึงแม้จะเครียด แต่อากาศที่นั่นก็บริสุทธิ์ ผมใช้ธรรมชาติในการบำบัดความเครียด แต่หลังจากที่ผมย้ายออกมาจากเรือนจำกลางเชียงใหม่ ผมก็ไม่เคยคิดถึงเรื่องประกันตัวอีกเลย

เช้าวันที่ 11 สิงหาคม 2554 ผมถูกส่งตัวไปยังเรือนจำจังหวัดอุตรดิตถ์ โดยไม่ถอดเครื่องพันธนาการเช่นเคย ห้องที่ผมนอนกว้าง 5 x 12 เมตร ทุกๆ วันผมได้แต่ยืนมองเพื่อนผู้ต้องขังจากในห้อง เพราะมีคำสั่งให้ขังเดี่ยวผมในตอนกลางวัน แต่อยู่ที่นี่ผมไม่ค่อยเครียดเพราะอยู่ใกล้บ้าน ซึ่งทุกคนในครอบครัวของผม ผลัดกันมาเยี่ยมทุกวัน กลับจากการเยี่ยมญาติผมก็อ่านหนังสือ ผมจึงไม่มีแรงกดดันใดๆ ผมทำทุกอย่างซ้ำๆ จนมันกลายเป็นกิจวัตรประจำวันของผมไป

เช้าวันที่ 29 กันยายน 2554 ผมถูกส่งตัวไปยัง เรือนจำพิษณุโลก (คนละแห่งกับเรือนจำกลางพิษณุโลก) ผมถูกส่งตัวเข้าสู่แดน 5 ทางผู้คุมส่งตัวผมเข้าห้องขังเดี่ยวทันที การมาที่นี่ของผมทำให้ผมเครียดมาก เพราะห้องขังเดี่ยวกว้างเพียง 2 x 4 เมตรเป็นห้องมืดนอนคนเดียวและขาทั้งสองข้างก็มีเครื่องพันธนาการ ผมกลายเป็นเหมือนคนบ้า ที่ประตูห้องจะมีช่องสำหรับส่งอาหารจากทางผู้คุม ผมจะไปรับแสงแดดช่วงที่ผู้คุมนำอาหารมาส่งให้ ที่นี่มีห้องขังเดียวทั้งหมด 10 ห้องเพราะใช้คุมขังผู้ต้องขังที่ผิดระเบียบวินัยของทางเรือนจำ จะไม่เคยมีใครเห็นหน้ากัน ทุกๆวันผมได้แต่สวดมนต์ภาวนาขอให้ใครซักคนนึกชื่อผมได้ แล้วยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือผม หรือให้ส่งตัวผมไปที่เรือนจำอื่นเร็วๆ แล้วสิ่งที่ผมเฝ้ารอก็มาถึง

เช้าวันที่ 18 ตุลาคม 2554 ผมถูกส่งตัวไปยัง เรือนจำจังหวัดพะเยา เมื่อผมมาถึงที่เรือนจำจังหวัดพะเยา เหมือนสวรรค์มาโปรดผม เพราะขาทั้ง 2 ข้างที่ใส่เครื่องพันธนาการมาตั้งนาน ได้ถูกถอดเครื่องพันธนาการออก ห้องที่ผมนอนกว้าง 9 x 18 เมตร แต่จำนวนผู้ต้องขังในแต่ละห้องมีมากถึง 127 คน ซึ่งถือว่าแออัดทีเดียว อาหารที่นี่คือข้าวเหนียว ใส่ในถาดหลุม 1 หลุม 1 ถาดรับประทาน 4 คน ซึ่งไม่อิ่มแน่ น้ำที่นี่ค่อนข้างขาดแคลน ในช่วงที่ผมย้ายมาจากเรือนจำจังหวัดพิษณุโลก ทุกคนจะเรียกผมว่า “จิ้งจก” เพราะผมขาวจนซีด แต่พอผมมาอยู่ที่นี่ไม่ถึงสัปดาห์ ผมก็ดำเท่าเทียบกับผู้ต้องขังคนอื่น อยู่ที่นี่ผมเครียดมาก เพราะมีเวลามากเกินไป ที่นี่มีห้องนอนธรรมะ ซึ่งในทุกเช้าเวลาตี 5 ผมจะตื่นมาฟังเพื่อนผู้ต้องขังที่นอนในห้องธรรมะสวดมนต์ทำวัดเช้าเป็นประจำ ซึ่งพอจะช่วยให้จิตใจของผมสงบลงได้บ้าง

เช้าวันที่ 6 ธันวาคม 2554 ผมถูกส่งตัวไปยัง เรือนจำกลางเชียงราย หรือ ดอยฮาง ที่นี่มีสโลแกนว่า “สวิตเซอร์แลนเมืองไทย” ห้องที่นี่กว้าง 5 x 9 เมตร จำนวนผู้ต้องขัง 32 คน อากาศที่นี่ดีมาก ตื่นเช้ามาจะมองเห็นทะเลหมอกในเรือนจำ อากาศก็บริสุทธิ์ อาหารที่นี่คือข้าวเหนียว ช่วงที่ผมอยู่ที่นี่ผมได้ฝึกวิชาชีพในโรงงานสานอวน ทุกๆ วันผมต้องทำงานทั้งวัน จึงไม่ค่อยมีเวลามาคิดเรื่องอื่นให้เครียด แต่ในใจของผมก็ยังต้องการให้ใครมาช่วยเหลือ เพราะอีกไม่กี่วันผมก็จะได้ฉลองปีใหม่ในเรือนจำเป็นปีที่ 2 ผมเหมือนคนที่ต้องอยู่คนเดียว เพราะไม่มีญาติมาหาเลย แต่ก็มีเพื่อนๆ ผู้ต้องขังคอยให้กำลังใจซึ่งกันและกันเสมอ และผมต้องทำงานเพื่อให้ลืมความเครียดทั้งหมด ในวันที่ 31 ธันวาคม 2554 ผมได้ยืนดูพลุผ่านลูกกรง และนับถอยหลังในเรือนจำอีกครั้ง แต่ผมก็ยังไม่ท้อ ผมยังคงรอให้ใครซักคนข้างนอกเป็นห่วงผมบ้าง แล้ววันหนึ่งผมก็ได้รับกำลังใจก้อนโต ผมได้รับ ส.ค.ส. จากกลุ่มเพื่อนนักโทษทางการเมือง เป็น ส.ค.ส. อวยพรปีใหม่ที่อวยพรมาจากพี่น้องคนเสื้อแดงหลายๆ คน ใครอาจจะมองว่า ส.ค.ส นี้เป็นเรื่องเล็กน้อย แต่สำหรับผมมันคือกำลังใจ ที่มากมายมหาศาลและอย่างน้อยก็ยังมีคนที่นึกขึ้นมาได้ว่ายังมีผมอีกคนที่อยู่ในเรือนจำ ทุกคืนก่อนนอนผมต้องนำส.ค.ส นั้นขึ้นมาอ่านเพื่อเสริมสร้างกำลังใจของผมให้เข้มแข็งและช่วยให้หายเหงาได้

เช้าวันที่ 18 มกราคม 2555 ผมถูกส่งตัวไปยังเรือนจำพิเศษพัทยา ผมถูกส่งตัวเข้าแดน 5 ห้องนอนที่นี่กว้าง 5 x 9 เมตร แต่นอนอึดอัดมากทั้งที่ในห้องนอนมีผู้ต้องขังเพียง 67 คน เพราะที่นี่จะมีผู้ต้องขังเก่าหรือที่เรียกกันว่า “ขาใหญ่” ทุกห้องในห้องจะเหลือเนื้อที่เพียง 3 x 3 เมตร เพื่อสำหรับให้ผู้ต้องขังใหม่จำนวนกว่า 40 คนได้นอนซึ่งทุกคนต้องนอนทับกัน การอาบน้ำใน 1 วันมีเวลาอาบแค่ 1 นาทีเดินออกมาจากห้องน้ำบางครั้งสบู่ยังเต็มตัวอยู่เลย น้ำดื่มก็ขาดแคลน ผู้ต้องขังที่นี่จะมีโรค ผื่น ฝี และหิดกันทุกคน เรื่องอาหารก็ต้องซื้อกินอย่างเดียว ส่วนตัวผมนั้นมีพี่น้องเสื้อแดงทั้งจาก ชลบุรี,สมุทรปราการ,กรุงเทพ และจังหวัดใกล้เคียงผลัดเปลี่ยนกันมาเยี่ยมทุกวัน ทุกๆ คนช่วยให้กำลังใจผมดีขึ้นมาก ถึงแม้จะไกลและลำบาก แต่ทุกคนก็ไป ผมคงทำได้เพียงแค่ เอ่ยคำว่า “ขอบคุณ”เท่านั้น

เช้าวันที่  9 กุมถาพันธ์ 2555 ผมถูกส่งตัวมายัง เรือนจำพิเศษกรุงเทพ ผมถูกส่งตัวเข้าแดน 1 ซึ่งเป็นการย้ายเรือนจำครั้งที่ 8 ของผมห้องนอนที่นี่กว้าง 6 x 12 เมตร จำนวนผู้ต้องขัง  31 คน ที่นี่สะอาดและเป็นระเบียบทุกอย่าง อาหารการกินก็ได้กินทุกเชื้อชาติ ทุกศาสนา อยู่ที่นี่ผมได้พบกับพี่สมยศ พฤกษาเกษมสุข,พี่สุรภักดิ์ ภูไชยแสง,อาจารย์สุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ (แซ่ด่าน) และพี่น้องทุกคนที่ยังอยู่ที่นี่ เราทุกคนพูดคุยปรึกษากันได้ และมีพี่น้องคนเสื้อแดงมาคอยให้กำลังใจพวกเราตลอดเวลา ถึงผมจะห่างครอบครัวมานาน แต่ผมก็ไม่เหงา เราอยู่กันเหมือนพี่น้อง มีเท่าไหร่ก็แบ่งกันเท่านั้น พี่น้องเสื้อแดงทุกคนคือส่วนหนึ่งของชีวิตผม ทุกคนคือครอบครัวผม กำลังใจทั้งหมดที่ผมมี ก็มาจากพี่น้องคนเสื้อแดงทุกคน ไม่ว่าจะในเรือนจำหรือข้างนอก ทุกคนคอยให้กำลังกันเสมอ ในเร็วๆนี้ผมต้องย้ายไปที่ เรือนจำปทุมธานี อีกครั้ง ผมคงต้องห่างกับทุกๆ คนอีกครั้ง แต่พี่น้องคนเสื้อแดงทุกคน จะอยู่ในใจของผม “ตลอดกาล”

สุดท้ายนี้ ผมก็ขอขอบคุณน้องสาวที่แสนดีผู้ติดตามข่าวของผมตลอด และคอยเยี่ยมคอยดูแลผมเสมอ คือน้องเปิ้ล (กริชสุดา) และพี่เมย์ (แดง E.U) ที่คอยห่วงคอยดูแลผมขอบคุณ D.J อ้อม (กัญญาภัคร) ที่ถึงจะอยู่ไกลแต่ก็ยังคอยมาเยี่ยม และขอบคุณพี่น้องคนเสื้อแดงทุกคน ผมอยากบอกรัฐบาลและทุกๆ คนว่า พวกเราร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกันมา ขอเพียงทุกๆ ฝ่ายเดินหน้าแก้ปัญหา เพื่อพาพวกเราที่เหลือ ทั้งที่เรือนจำชั่วคราวหลักสี่ และที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ ได้กลับบ้านให้หมดทุกคน พวกเราจะได้ออกไปเพื่อเป็นเกราะป้องกันภัยให้กับท่านอีกครั้ง ฝากถึงญาติพี่น้องผู้ต้องขังทุกคนว่า ทุกคนในนี้ต้องการกำลังใจจากท่าน ขอเพียงแค่ท่านเขียนจดหมายมาหา ทุกคนก็ดีใจมากแล้ว ฝากถึงสังคม ทุกคนในนี้ไม่ใช่คนไม่ดี ขอเพียงแค่เวลาที่พวกเค้าได้กลับออกไป พวกคุณและสังคมโปรดให้โอกาสเขาบ้าง เขาทุกคนจะได้ช่วยกันพัฒนาประเทศของเราให้สืบต่อไป

 ขอขอบคุณทุกกำลังใจ
 วัลลภ   พิธีพรม
 19    มีนาคม    2555

ที่มา prachatai

วันอังคารที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2555

บทวิเคราะห์สั้น : ทักษิณรับงานมาจากศักดินา ในการจัดงานสงกรานต์ที่ลาวและเขมร




โดย แดง ตาดี

1. ทักษิณได้ขออนุญาตและชี้แจงเหตุผลต่อจ้าวนายล่วงหน้าแล้ว

2. ทักษิณรับงานมารวบรวมเสื้อแดงมิให้แตกแถวหรือไปก้าวร้าวต่อศักดินา

3. ทักษิณเป็นคนมานำขบวนแดง โดยทักษิณประกาศนำแบบองอาจ โดยมี แดง นปช.เป็นกระเป๋ารถเชียร์แขก ทักษิณกุมพวงมาลัย เพื่อค่อยๆพาคนไปไหว้จ้าว

4. นปช.และทักษิณ ไม่มีข้อเรียกร้องหรือคำขวัญต่อสู้ใดๆอีก

5. การลดอุณหภูมิเสื้อแดง ทำมาตั้งแต่โบนันซ่า โดยศักดินาเรียกร้องให้ดูแลคนเสื้อแดงมิให้ด่าจ้าว และให้ทักษิณนำโดยมิให้เสื้อแดงตกไปอยู่ในการนำของแดงใต้ดิน

6. ทักษิณแลกเปลี่ยนคดีกับจ้าวโดยการ ให้ฝ่ายจ้าวห้ามปรามพันธมิตร ปปช.ทหารและตุลาการ มิให้ล้ำเส้นมากนัก ให้สาวกแต่ละฝ่ายแค่แหย่ๆ

7. ทักษิณได้ทำหน้าที่ลดความแข็งกร้าวคนเสื้อแดงเป็นหลัก แต่กลับขานรับ "ข้อกำหนดของศักดินาอย่างจริงจัง" 

8. จุดยืนของทักษิณ คือพ่อค้า ลงทุนและเก็งกำไร มิใช่นักปฏิวัติ มิใช่นักประชาธิปไตยโดยการกระทำแม้แต่น้อย

9. งานต่อไปที่ทักษิณจะทำถวายจ้าว คือ "ชี้เป้า คนที่ต่อสู้แบบปฏิวัติ และจะปราบเมื่อแดงปฏิวัติพัฒนาขึ้นมา" การทรยศคนทั่วไปจะมองเห็นชัดเจนขึ้นกว่านี้

10. ทักษิณ รักษาระบบมือใครยาวสาวได้สาวเอา แปรรูปทรัพย์ส่วนรวมเป็นของเอกชน และแจกค่าแรงหรือสวัสดิการบ้าง โดยรักษาระบบสูบโกยกลับคืนอย่างแข็งขัน

ทักษิณ คือ คนที่อ้างว่า
"ตนเองถูกรังแกมากกว่าคนที่ตายราชประสงค์ และคนเสื้อแดงทุกคนรวมกัน" ทักษิณถูกรังแกมากกว่าใครยังให้อภัยได้ ใครไม่ยอมปรองดองคือ "คนค้าอาวุธ"

ทักษิณดูถูกคนเสื้อแดงปฏิวัติและกล่าวหาญาติวีรชนที่ต้องการจับฆาตกรมาลงโทษว่าเป็น "คนที่ค้าอาวุธเพราะไม่ยอมปรองดอง" ทักษิณ คือนักการเมืองค้ากำไร และพร้อมหยุดต่อสู้เสมอเมื่อตนเองได้สัมปทานและกำไรพอใจแล้ว

วันศุกร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2555

‘สมยศ’ ยันสู้ต่อคดีหมิ่นฯ เฮือกสุดท้ายพิสูจน์กระบวนการยุติธรรมไทย


5 เม.ย.55  รายงานข่าวจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ แจ้งว่าสมยศ พฤกษาเกษมสุข ได้ยืนยันว่าจะไม่รับสารภาพและขอพระราชทานอภัยโทษเช่นเดียวกับผู้ต้องขังคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพรายอื่นๆ โดยให้เหตุผลว่า เนื่องจากตนเองเป็นผู้บริสุทธิ์ หากรับสารภาพก็รู้สึกตะขิดตะขวงใจ

“เขาชวนมาต่อสู้ในชั้นศาลก็อยากจะลองดู คนที่เขารับสารภาพเพราะเขาไม่เชื่อมั่น สิ้นหวังกับกระบวนการยุติธรรมแล้ว แค่สิทธิในการประกันตัวก็ยังไม่มี ฝ่ายผู้เสียหายก็ยังไม่เคยปรากฏตัวในชั้นศาลซักครั้ง ที่เราสู้ เพราะอยากรู้ด้วยตัวเองว่า ความยุติธรรมสำหรับคดี 112ยังหลงเหลืออยู่ไหม” สมยศกล่าว

“ที่เข้ามาไม่ได้เข้ามาเพื่อรอวันออก แต่เข้ามาเพื่อสู้ อย่างน้อยจะได้เป็นบันทึกทางประวัติศาสตร์” สมยศกล่าว

เขากล่าวอีกว่า ผลการแพ้ชนะคดีสำหรับเขาแล้วมีค่าเท่ากัน เพราะหากได้ออกจากเรือนจำก็ยังเจอกรงขังที่ใหญ่กว่า ที่ผ่านมาถือว่าได้ทำหน้าที่พลเมืองที่ดีของประเทศแล้ว มีส่วนร่วมทางการเมือง ใช้สิทธิเสรีภาพแสดงความคิดเห็นทางการเมืองอย่างที่พลเมืองที่ดีควรจะเป็น

“ปัญหาสำคัญคือ ผู้บริสุทธิ์ต้องมารับสารภาพเพื่อหาทางรอด มันแปลว่าอะไร มันปวดลึกยิ่งกว่าอีก  เลยคิดว่าสู้ดีกว่า อย่างน้อยให้เขาเป็นฝ่ายพิพากษา” สมยศกล่าว

ทั้งนี้ สมยศถูกจับกุมที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดสระแก้วเมื่อวันที่ 30 เม.ย.54 ขณะพาคณะทัวร์เตรียมผ่านแดนไปกัมพูชา โดยถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดมาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญา เนื่องจากเป็นบรรณาธิการนิตยสาร Vioce of Taksin ซึ่งตีพิมพ์บทความเข้าข่ายหมิ่นเบื้องสูง 2 บทความ

เขาถูกคุมขังนับแต่นั้นและไม่ได้รับการประกันตัว ขณะนี้คดีอยู่ระหว่างการสืบพยาน โดยที่ผ่านมามีการสืบพยานโจทก์ไปแล้ว 4 ครั้งในจังหวัดต่างๆ ได้แก่ จังหวัดสระแก้ว เมื่อวันที่ 21 พ.ย.54, จังหวัดเพชรบูรณ์เมื่อวันที่ 19 ธ.ค.54, จังหวัดนครสวรรค์ เมื่อวันที่ 16 ม.ค.55, จังหวัดสงขลา เมื่อวันที่ 13 ก.พ.55 แต่มีการเลื่อนมาสืบพยานที่กรุงเทพฯ เนื่องจากพยานอยู่กรุงเทพฯ

หลังจากนี้จะมีการสืบพยานโจทก์ที่ศาลอาญา รัชดา ต่อเนื่องอีกในวันที่ 18-20, 24-26 เม.ย.55 และสืบพยานโจทก์ในวันที่ 1-4 พ.ค.55

ที่มา prachatai

วันพุธที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2555

ประวัติศาสตร์การเสียดินแดนของประเทศไทย 14 ครั้ง ในสมัย ร.1 - ร.9






"เสียครั้งแรกเกาะหมากจากแผนผัง
เขาเปลี่ยนเป็นปีนังจำได้ไหม
นั่นแหละจากขวานทองเล่มของไทย
หนึ่งร้อยกว่าตารางไมล์หลักฐานมี "

ครั้งที่ 1 เกาะหมาก(ปีนัง) เสียให้กับประเทศอังกฤษ เมื่อ 11 สิงหาคม 2329 พื้นที่ 375 ตร.กม. ในสมัย ร.1 เกิดจาก พระยาไทรบุรี ให้อังกฤษเช่าเกาะหมากเพื่อหวังจะขอให้อังกฤษคุ้มครองเกาะหมากจากกองทัพ ของกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ซึ่งยกทัพมาจัดระเบียบหัวเมืองปักษ์ใต้ ในที่สุดอังกฤษก็ยึดเอาไป


"ครั้งที่สองเสียซ้ำยังจำได้
เสียมะริดและทวายตะนาวศรี
ปีสองพันสามร้อยยี่สิบหกโชคไม่ดี
เสียเนื้อที่กว่าสองหมื่นตารางไมล์ "

ครั้งที่ 2 มะริด ทวาย ตะนาวศรี ให้กับพม่า เมื่อ 16 มกราคม 2336 พื้นที่ 55,000 ตร.กม. ในสมัย ร.1 แต่เดิมเป็นของไทยครั้งสมัยสุโขทัย มังสัจจา เจ้าเมืองทวายเป็นไส้ศึกให้พม่า รัชกาลที่ 1 ไม่สามารถตีคืนจากพม่าได้ ประกอบกับชาวเมืองทวายไม่พอใจกองทัพไทยที่เข้ายึดครอง จึงตกเป็นของพม่าไป


"ครั้งที่สามบันทายมาศถูกตัดเฉือน
แล้วเปลี่ยนเป็นฮาเตียนตั้งชื่อใหม่
ปีสองพันสามร้อยหกสิบสามแสนช้ำใจ
เสียเนื้อที่เท่าไรไม่ปรากฎในบทความ "

ครั้งที่ 3 บันทายมาศ(ฮาเตียน) ให้กับฝรั่งเศส เมื่อ พ.ศ.2336 ในสมัยรัชกาลที่ 2


"ครั้งที่สี่เจ็บแค้นเสียแสนหวี
กินเนื้อที่ถึงเชียงตุงเหนือกรุงสยาม
ตั้งหกหมื่นตารางกิโลโถมันทำ
ใครสร้างกรรมเดี๋ยวนี้เห็นดีกัน"

ครั้งที่ 4 แสนหวี เมืองพง เชียงตุง ให้กับพม่าเมื่อ พ.ศ.2368 พื้นที่ 62,000 ตร.กม.ในสมัย รัชกาลที่ 3    แต่เดิมเราได้ดินแดนนี้มาในสมัยรัชกาลที่ 1 โดยพระเจ้ากาวิละ ยกทัพไปตีมาขึ้นอยู่กับไทยได้ 20 ปี เนื่องจากเป็นดินแดนที่อยู่ห่างไกลประกอบกับเกิดกบฏเจ้าอนุเวียงจันทร์และ เกิดกบฏทางหัวเมืองปักษ์ใต้(กลันตัน ไทรบุรี) ไทยจึงห่วงหน้าพะวงหลัง ไม่มีกำลังใจจะยึดครอง หลังจากนั้นพม่าเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ เชียงตุงก็เป็นของอังกฤษโดยสิ้นเชิง


"ครั้งที่ห้ามาเสียรัฐเปรัค
เขาหาญหักผลักล้มเชือดคมขวาน
ปีสองพันสามร้อยหกสิบเก้าแสนร้าวราน
ต่างหยิบขวานขึ้นถือกู้ชื่อไทย "

ครั้งที่ 5 รัฐเปรัค ให้กับอังกฤษเมื่อ พ.ศ.2369 ในสมัยรัชกาลที่ 3 เป็นการสูญเสียที่ทำร้ายจิตใจ คนไทยทั้งชาติ เพราะเป็นการสูญที่ห่างจากครั้งก่อนไม่ถึง 1 ปี


"ครั้งที่หกอกตรมเดินก้มหน้า
เสียสิบสองพันนาน้ำตาไหล
ตั้งเก้าหมื่นกิโลโถทำได้
แทบขาดใจต่อสู้ศัตรูมา"

ครั้งที่ 6 สิบสองปันนา ให้กับจีนเมื่อ 1 พฤษภาคม 2397 พื้นที่ 90,000 ตร.กม. ในสมัยรัชกาลที่ 4 เป็นดินแดนในยูนานตอนใต้ของประเทศจีน เมืองเชียงรุ้งเป็นเมืองหลวงของไทยสมัยรัชกาลที่ 1 ต่อมาเกิดการแย่งชิงราชสมบัติกันเอง แสนหวีฟ้า มหาอุปราชหนีลงมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารในสมัยรัชกาลที่ 3 ได้เกณฑ์ทัพเชียงใหม่ ลำปาง ลำพูน ไปตีเมืองเชียงตุง (ต้องตีเมืองเชียงตุงให้ได้ก่อนจึงจะได้เชียงรุ้ง) แต่ไม่สำเร็จเพราะไม่พร้อมเพรียงกัน  มาในสมัยรัชกาลที่ 4 ได้ให้กรมหลวงลวษาธิราชสนิท (ต้นตระกูลสนิทวงศ์) ยกทัพไปตีเชียงตุงเป็นครั้งที่ 2 แต่ไม่สำเร็จจึงต้องเสียให้จีนไป


"ครั้งที่เจ็ดเสียดินแดนแคว้นเขมร
เกิดพิเรนเพราะฝรั่งกำลังบ้า
เที่ยวออกล่าเมืองขึ้นชื่นอุรา
เสียอีกหนึ่งแสนกว่าตารางกิโล"

ครั้งที่ 7 เขมรและเกาะ 6 เกาะ ให้กับฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2410 พื้นที่ 124,000 ตร.กม. ในสมัย ร.4 ฝรั่งเศส บังคับให้เขมรทำสัญญารับความคุ้มครองจากฝรั่งเศส หลังจากนั้นได้ดำเนินการทางการฑูตกับไทย ขอให้มีการปักปันเขตแดนเขมรกับญวน แต่กลับตกลงกันไม่ได้ ขณะนั้นพระปิ่นเกล้า แม่ทัพเรือสวรรคต ไทยจึงอ่อนแอ ฝรั่งเศสจึงฉวยโอกาสบังคับทำสัญญารับรองความอารักขาจากฝรั่งเศสต่อเขมร ในช่วงนี้เอง อังกฤษกับฝรั่งเศสได้ทำสัญญากันเมื่อ 15 มกราคม 2438 โดยตกลงกันให้ไทยเป็นรัฐกันชน ประกอบกับ การดำเนินนโยบายของ ร.5 ที่ไปประพาสยุโรปถึง 2 ครั้ง ทำให้อังกฤษ เยอรมัน รัสเซียเห็นใจไทย ฝรังเศสจึงยึดดินแดนไป


"ครั้งที่แปดเสียแคว้นดินแดนใหม่
ชื่อสิบสองจุไทยก็ใหญ่โข
เป็นเนื้อที่อีกแปดหมื่นตารางกิโล
ต้องร้องโฮใจระเหี่ยเพราะเสียดาย"

ครั้งที่ 8 สิบสองจุไทย (เมืองไล เมืองเชียงค้อ) ให้กับฝรั่งเศส เมื่อ  22 ธันวาคม 2431 พื้นที่ 87,000 ตร.กม. ในสมัย รัชกาลที่ 5 พวกฮ่อ ก่อกบฏ ไทยจัดกำลังไปปราบ 2 กองทัพ แต่ปฏิบัติเป็นอิสระแก่กัน อีกทั้งแม่ทัพทั้งสองไม่ถูกกัน จึงเป็นโอกาสให้ฝรั่งเศสส่งทหารเข้าเมืองไล โดยอ้างว่า มาช่วยไทยปราบฮ่อ แต่หลังจากปราบได้แล้ว ก็ไม่ยอมยกทัพกลับ อีกทั้งไทยก็ไม่ได้จัดกำลังไว้ยึดครองอีกด้วย จนในที่สุด ไทยกับฝรั่งเศสได้ทำสัญญากันที่เมืองแถง(เบียนฟู) ยอมให้ฝรั่งเศสรักษาเมืองไลและเมืองเชียงค้อ


"ครั้งที่เก้าเศร้าแสนแค้นไม่สิ้น
เสียลุ่มน้ำสาละวินด้านฝั่งซ้าย
สิบสามหัวเมืองต้องจำเหมาให้เขาไป
ใครที่ทำช้ำใจไทยต้องจำ "

ครั้งที่ 9 ฝั่งซ้ายแม่น้ำสาละวิน ให้กับประเทศอังกฤษในสมัย รัชกาลที่ 5 ในห้วงปี 2433 เป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ทางด้านรัฐศาสตร์ เศรษฐกิจและทรัพยากร อันอุดมด้วยดินแดนผืนป่าอันอุดมสมบูรณ์ยิ่ง


"ครั้งที่สิบเลียบลำแม่น้ำโขง
ถูกเขาโกงฝั่งซ้ายเพราะไทยถลำ"

ครั้งที่ 10 ฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง (อาณาจักรล้านช้าง หรือประเทศลาว) ให้กับฝรั่งเศส เมื่อ 3 ตุลาคม 2436 พื้นที่ 143,000 ตร.กม. ในสมัยรัชกาลที่ 5 เป็นของไทยมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนเรศวร ต้องเสียให้กับฝรั่งเศสตามสัญญาไทยกับฝรั่งเศส เท่านั้นยังไม่พอ ฝรั่งเศสเรียกเงินจากไทย 1 ล้านบาท เป็นค่าเสียหายที่ต้องรบกับไทย เสียค่าประกันว่าไทยต้องปฏิบัติตามสัญญาอีก 3 ล้านบาท และยังไม่พอฝรั่งเศสได้ส่งทหารมายึดเมืองจันทบุรีและตราด ไว้ถึง 15 ปี นับว่าเป็นความเจ็บปวดที่สุดของไทยถึงขนาดที่เจ้านายฝ่ายในต้องขายเครื่อง แต่งกายเพื่อนำเงินมาถวาย ร.5  เป็นค่าปรับ ร.5 ต้องนำถุงแดง(เงินพระคลังข้างที่) ออกมาใช้


"ครั้งที่สิบเอ็ดเสียฝั่งขวานั่งหน้าดำ
มันเจ็บช้ำฝังจำอยู่กลางใจ"

ครั้งที่ 11 ฝั่งขวาแม่น้ำโขง(ตรงข้ามเมืองหลวงพระบาง ดินแดนในทิศตะวันออกของน่าน,จำปาศักดิ์   ,มโนไพร)ให้กับฝรั่งเศสเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2446 พื้นที่ 25,500 ตร.กม. ในสมัย.ร.5ไทยทำสัญญากับฝรั่งเศสเพื่อขอให้ฝรั่งเศสคืนจันทบุรีให้ไทย แต่ฝรั่งเศสถอนไปแต่จันทบุรีแล้วไปยึดเมืองตราดแทนอีก 5 ปี แล้วเมื่อฝรั่งเศสได้หลวงพระบางแล้วยังลุกล้ำบ้านนาดี,ด่านซ้าย จ.เลย และยังได้เอาศิลาจารึกที่พระเจดีย์ศรีสองรักษ์ไปด้วย


"ครั้งที่สิบสองใจรันทดเพราะหมดท่า
เสียมณฑลบูรพาอีกจนได้
เขามาพรากจากแหลมทองถิ่นของไทย
อีกสองหมื่นตารางไมล์โดยประมาณ "


ครั้งที่ 12 มลฑลบูรพา(พระตะบอง,เสียมราฐ,ศรีโสภณ) ให้กับฝรั่งเศส เมื่อ 23 2449 พื้นที่ 51,000 ตร.กม. ในสมัย ร.5 ไทยได้ทำสัญญากับฝรังเศส เพื่อแลกกับ ตราด,เกาะกง,ด่านซ้าย ตลอดจนอำนาจศาลไทยที่จะบังคับต่อคนในบังคับของฝรั่งเศสในประเทศไทย เพราะขณะนั้นมีคนจีนญวนไปพึ่งธงฝรั่งเศสกันมากเพื่อสิทธิการค้าขาย ฝรั่งเศสก็เพียงแต่ถอนทหารออกจากตราดเมื่อ 6 กรกฎาคม 2450 กับด่านซ้าย คงเหลือแต่เกาะกงไม่คืนให้ไทย


"ครั้งที่สิบสามเสียตรังกานูไทรบุรี
ในแผนที่มองเห็นเป็นหลักฐาน
ไปถึงปะลิสติดรัฐกลันตัน
อีกสามหมื่นโดยประมาณตารางไมล์"

ครั้งที่ 13 ในสมัยรัชกาลที่ 5 เสียหัวเมืองมลายู
(รัฐกลันตัน ตรังกานู ปะลิส และไทรบุรี) เมื่อ พ.ศ. 2451 ให้กับอังกฤษ
จำนวนพื้นที่ 80,000 ตารางกิโลเมตร
เพื่อแลกกับอังกฤษยกเลิกสิทธิภาพนอกอาณาเขต
และให้ไทยกู้เงินเพื่อสร้างทางรถไฟสายใต้ ปัจจุบันเป็นของมาเลเซีย


"ครั้งที่สิบสี่เสียเขาพระวิหาร
ปัจจุบันเป็นของเขมรท่านเห็นไหม"

ครั้งที่ 14 เขาพระวิหาร ให้กับเขมรเมื่อ 15 มิถุนายน 2505 พื้นที่ 2 ตร.กม. ในสมัย ร.9 ตามคำพิพากษาของศาลโลก ให้เขาพระวิหารตกเป็นของเขมร เนื่องมาจากหลักฐานสำคัญของเขมร   ในสมัยที่เป็นของฝรั่งเศส เมื่อรู้ว่ากรมพระยาดำรงราชานุภาพจะเสด็จเขาพระวิหาร จึงไปก่อนแล้วชักธงชาติฝรั่งเศสรับเสด็จ แล้วจึงถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐาน จึงนำมาใช้เป็นหลักฐานสำคัญที่แสดงต่อศาลโลก



รวมพื้นที่ที่เสียไป 782,877 ตร.กม.
จากพื้นที่ 1,294,992 ตร.กม. ในอดีต
ปัจจุบันเรามีพื้นที่ให้เหยียบกันอยู่เพียง 512,115 ตร.กม.
เหลือน้อยกว่าที่เราเสียไปซะอีก









ที่มา zone-it

วันอังคารที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2555

แถลงการณ์ คณะราษฎร์ ฉบับที่1


                             ประกาศคณะราษฎร  ฉบับที่  ๑
                                         ราษฎรทั้งหลาย


                เมื่อกษัตริย์องค์นี้ได้ครองราชย์สมบัติสืบต่อจากพระเชษฐานั้น  ในชั้นต้นราษฎรบางคนได้หวังกันว่ากษัตริย์องค์ใหม่นี้จะปกครองราษฎรให้ร่ม เย็น  แต่การณ์ก็หาได้เป็นไปตามที่คิดหวังกันไม่  กษัตริย์คงทรงอำนาจอยู่เหนือกฎหมายเดิม  ทรงแต่งตั้งญาติวงศ์และคนสอพลอไร้คุณความรู้ให้ดำรงตำแหน่งที่สำคัญๆ  ไม่ทรงฟังเสียงราษฎร  ปล่อยให้ข้าราชการใช้อำนาจหน้าที่ในทางทุจริต  มีการรับสินบนในการก่อสร้างและการซื้อของใช้ในราชการ  หากำไรในการเปลี่ยนเงิน  ผลาญเงินของประเทศ  ยกพวกเจ้าขึ้นให้สิทธิพิเศษมากกว่าราษฎร  กดขี่ข่มเหงราษฎร  ปกครองโดยขาดหลักวิชา  ปล่อยให้บ้านเมืองเป็นไปตามยถากรรม  ดังที่จะเห็นได้จากความตกต่ำในทางเศรษฐกิจและความฝืดเคืองในการทำมาหากิน ซึ่งพวกราษฎรได้รู้กันอยู่โดยทั่วไปแล้ว  รัฐบาลของกษัตริย์เหนือกฎหมายมิสามารถแก้ไขให้ฟื้นขึ้นได้


                  การที่แก้ไข ไม่ได้ก็เพราะรัฐบาลของกษัตริย์มิได้ปกครองประเทศเพื่อราษฎรตามที่รัฐบาล อื่นๆ  ได้กระทำกัน  รัฐบาลของกษัตริย์ได้ถือเอาราษฎรเป็นทาส  (ซึ่งเรียกว่าไพร่บ้าง  ข้าบ้าง)  เป็นสัตว์เดียรัจฉาน  ไม่นึกว่าเป็นมนุษย์  เหตุฉะนั้น  แทนที่จะช่วยราษฎร  กลับพากันทำนาบนหลังราษฎร  จะเห็นได้ว่า  ภาษีอากรที่บีบคั้นเอาจากราษฎรนั้น  กษัตริย์ได้หักเอาไว้ใช้ปีหนึ่งเป็นจำนวนหลายล้าน  ส่วนราษฎรสิ  กว่าจะหาได้แม้แต่เล็กน้อย  เลือดตาแทบกระเด็น  ถึงคราวเสียเงินราชการหรือภาษีใดๆ  ถ้าไม่มีเงินรัฐบาลก็ยึดทรัพย์หรือใช้งานโยธา  แต่พวกเจ้ากลับนอนกินกันเป็นสุข  ไม่มีประเทศใดในโลกจะให้เงินเจ้ามากเช่นนี้  นอกจากพระเจ้าซาร์และพระเจ้าไกเซอร์เยอรมัน  ซึ่งชนชาตินั้นก็ได้โค่นราชบัลลังก์ลงเสียแล้ว


                รัฐบาลของกษัตริย์ได้ปกครองอย่างหลอกลวงไม่ซื่อตรงต่อราษฎร  มีเป็นต้นว่าหลอกว่าจะบำรุงการทำมาหากินอย่างโน้นอย่างนี้  แต่ครั้นคอยๆ  ก็เหลวไป  หาได้ทำจริงจังไม่  มิหนำซ้ำกล่าวหมิ่นประมาทราษฎรผู้มีบุญคุณเสียภาษีอากรให้พวกเจ้าได้กิน  ว่าราษฎรยังมีเสียงทางการเมืองไม่ได้  เพราะราษฎรโง่  คำพูดของรัฐบาลเช่นนี้ใช้ไม่ได้  ถ้าราษฎรโง่  เจ้าก็โง่เพราะเป็นคนชาติเดียวกัน  ที่ราษฎรรู้ไม่ถึงเจ้านั้นเป็นเพราะขาดการศึกษาที่พวกเจ้าปกปิดไว้ไม่ให้ เรียนเต็มที่  เพราะเกรงว่าเมื่อราษฎรได้มีการศึกษา  ก็จะรู้ความชั่วร้ายที่พวกเจ้าทำไว้  และคงจะไม่ยอมให้เจ้าทำนาบนหลังคนอีกต่อไป


                ราษฎรทั้งหลายพึงรู้เถิดว่า  ประเทศเรานี้เป็นของราษฎร  ไม่ใช่ของกษัตริย์ตามที่เขาหลอกลวง  บรรพบุรุษของราษฎรเป็นผู้ช่วยกันกรู้ให้ประเทศเป็นอิสรภาพพ้นมือจากข้าศึก  พวกเจ้ามีแต่ชุบมือเปิบและกวาดทรัพย์สมบัติเข้าไว้ตั้งหลายร้อยล้าน  เงินเหล่านี้เอามาจากไหน?  ก็เอามาจากราษฎรเพราะวิธีทำนาบนหลังคนนั้นเอง  บ้านเมืองกำลังอัตคัดฝืดเคือง  ชาวนาและพ่อแม่ทหารต้องทิ้งนา  เพราะทำนาไม่ได้ผล  รัฐบาลไม่บำรุง  รัฐบาลไล่คนงานออกอย่างเกลื่อนกลาด  นักเรียนที่เรียนสำเร็จแล้วและทหารที่ปลดกองหนุนแล้วก็ไม่มีงานทำ  จะต้องอดอยากไปตามยถากรรม  เหล่านี้เป็นผลของกษัตริย์เหนือกฎหมาย  บีบคั้นข้าราชการชั้นผู้น้อย  นายสิบ  และเสมียน  เมื่อให้ออกจากงานแล้วก็ไม่ให้เบี้ยบำนาญ  ความจริงควรเอาเงินที่พวกเจ้ากวาดรวบรวมไว้มาจัดบำรุงบ้านเมืองให้คนมีงาน ทำ  จึงจะสมควรที่สนองคุณราษฎรซึ่งได้เสียภาษีอากรให้พวกเจ้าได้ร่ำรวยมานาน  แต่พวกเจ้าก็หาได้ทำอย่างใดไม่  คงสูบเลือดกันเรื่อยไป  เงินเหลือเท่าไหร่ก็เอาไปฝากต่างประเทศ  คอยเตรียมหนีเมื่อบ้านเมืองทรุดโทรม  ปล่อยให้ราษฎรอดอยาก  การเหล่านี้ย่อมชั่วร้าย


                เหตุฉะนั้น  ราษฎร  ข้าราชการ  ทหาร  และพลเรือน  ที่รู้เท่าถึงการกระทำอันชั่วร้ายของรัฐบาลดังกล่าวแล้ว  จึงรวมกำลังตั้งเป็นคณะราษฎรขึ้น  และได้ยึดอำนาจของกษัตริย์ไว้ได้แล้ว  คณะราษฎรเห็นว่าการที่จะแก้ความชั่วร้ายนี้ได้ก็โดยที่จะต้องจัดการปกครอง โดยมีสภา  จะได้ช่วยกันปรึกษาหารือหลายๆ  ความคิดดีกว่าความคิดเดียว  ส่วนผู้เป็นประมุขของประเทศนั้น  คณะราษฎรไม่ประสงค์ทำการแย่งชิงราชสมบัติ  ฉะนั้น  จึงได้อัญเชิญให้กษัตริย์องค์นี้ดำรงตำแหน่งกษัตริย์ต่อไป  แต่จะต้องอยู่ใต้กฎหมายธรรมนูญการปกครองแผ่นดิน  จะทำอะไรโดยลำพังไม่ได้  นอกจากด้วยความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎร  คณะราษฎรได้แจ้งความประสงค์นี้ให้กษัตริย์ทราบแล้ว  เวลานี้ยังอยู่ในความรับตอบ  ถ้ากษัตริย์ตอบปฏิเสธหรือไม่ตอบภายในกำหนดโดยเห็นแก่ส่วนตนว่าจะถูกลดอำนาจ ลงมาก็จะชื่อว่าทรยศต่อชาติ  และก็เป็นการจำเป็นที่ประเทศจะต้องมีการปกครองแบบอย่างประชาธิปไตย  กล่าวคือ  ประมุขของประเทศจะเป็นบุคคลสามัญซึ่งสภาผู้แทนราษฎรได้เลือกตั้งขึ้น  อยู่ในตำแหน่งตามกำหนดเวลา  ตามวิธีนี้ราษฎรพึงหวังเถิดว่าราษฎรจะได้รับความบำรุงอย่างดีที่สุด  ทุกๆ  คนจะมีงานทำ  เพราะประเทศของเราเป็นประเทศที่อุดมอยู่แล้วตามสภาพ  เมื่อเราได้ยึดเงินที่พวกเจ้ารวบรวมไว้จากการทำนาบนหลังคนตั้งหลายร้อยล้าน มาบำรุงประเทศขึ้นแล้ว  ประเทศจะต้องเฟื่องฟูขึ้นเป็นแม่นมั่น  การปกครองซึ่งคณะราษฎรจะพึงกระทำก็คือ  จำต้องวางโครงการอาศัยหลักวิชา  ไม่ทำไปเหมือนคนตาบอด  เช่นรัฐบาลที่มีกษัตริย์เหนือกฎหมายทำมาแล้ว  เป็นหลักใหญ่ๆ  ที่คณะราษฎรวางไว้  มีอยู่ว่า

                ๑.จะต้องรักษาความเป็นเอกราชทั้งหลาย  เช่นเอกราชในทางการเมือง  ในทางศาล  ในทางเศรษฐกิจ  ฯลฯ  ของประเทศไว้ให้มั่นคง

                ๒.จะต้องรักษาความปลอดภัยภายในประเทศ  ให้การประทุษร้ายต่อกันลดน้อยลงให้มาก

                ๓.ต้องบำรุงความสุขสมบูรณ์ของราษฎรในทางเศรษฐกิจ  โดยรัฐบาลใหม่จะจัดหางานให้ราษฎรทุกคนทำ  จะวางโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติ   ไม่ปล่อยให้ราษฎรอดอยาก

                ๔.จะต้องให้ราษฎรมีสิทธิเสมอภาคกัน  (ไม่ใช่พวกเจ้ามีสิทธิยิ่งกว่าราษฎรเช่นที่เป็นอยู่ในเวลานี้)

                ๕.จะต้องให้ราษฎรได้มีเสรีภาพ  มีความเป็นอิสระ  เมื่อเสรีภาพนี้ไม่ขัดต่อหลัก  ๔  ประการดังกล่าวข้างต้น

                ๖.จะต้องให้การศึกษาอย่างเต็มที่แก่ราษฎร


                ราษฎรทั้งหลายจงพร้อมใจกันช่วยคณะราษฎรให้ทำกิจอันจะคงอยู่ชั่วดินฟ้านี้ให้ สำเร็จ  คณะราษฎรขอให้ทุกคนที่มิได้ร่วมมือเข้ายึดอำนาจจากรัฐบาลกษัตริย์เหนือ กฎหมายพึงตั้งตนอยู่ในความสงบและตั้งหน้าทำมาหากิน  อย่าทำการใดๆ  อันเป็นการขัดขวางต่อคณะราษฎร  การที่ราษฎรช่วยคณะราษฎรนี้  เท่ากับราษฎรช่วยประเทศและช่วยตัวราษฎร  บุตร  หลาน  เหลน  ของตนเอง ประเทศจะมีความเป็นเอกราชอย่างพร้อมบริบูรณ์  ราษฎรจะได้รับความปลอดภัย  ทุกคนจะต้องมีงานทำไม่ต้องอดตาย  ทุกคนจะมีสิทธิเสมอกัน  และมีเสรีภาพพ้นจากการเป็นไพร่  เป็นข้า  เป็นทาสพวกเจ้า  หมดสมัยที่เจ้าจะทำนาบนหลังราษฎร  สิ่งที่ทุกคนพึงปรารถนาคือ  ความสุขความเจริญอย่างประเสริฐซึ่งเรียกเป็นศัพท์ว่า  “ศรีอาริยะ”  นั้น  ก็จะพึงบังเกิดขึ้นแก่ราษฎรถ้วนหน้า


                                                                          คณะราษฎร
                                                                     ๒๔  มิถุนายน  ๒๔๗๕





ที่มา
http://www.newskythailand.com/board/index.php/topic,3691.msg13432/topicseen.html#new

 http://www.pridiinstitute.com/autopage/show_page.php?h=11&s_id=19&d_id=19

ที่มา thinnuanews