News online

กลับไปยังหน้าหลักเพื่อสนทนา C-Box ดู TV และฟังวิทยุ ได้ที่

วันเสาร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

รู้ทันศัตรู (1)

รู้ทันศัตรู(1)

โดย... พอน ตาไว

การต่อสู้ของประชาชนในปัจจุบันถูกล้อมรอบด้วยสายลับและการข่าวของฝ่ายศัตรูอยู่เสมอ แม้แต่การต่อสู้ของประชาชนกับคณะรัฐประหารเผด็จการ คมช. (คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ) ที่ท้องสนามหลวง นับตั้งแต่การทำรัฐประหารเมื่อ 19 กันยายน 2549 เป็นต้นมา ก็อยู่ท่ามกลางสายลับจากหน่วยข่าวต่างๆ โดยแหล่งข่าวจากทหารกล่าวว่า มีการวางกำลังรับผิดชอบการข่าวสนามหลวงในช่วงที่มีการชุมนุมใหญ่ถึง 200 คน และในช่วงปกติทุกวัน จะมีสายข่าวหมุนเวียนปฏิบัติการนอกเครื่องแบบไม่น้อยกว่า 20 – 30 คนต่อวัน พรางตัวปะปนไปกับผู้ชุมนุมแบบต่างๆ เช่น เป็น พ่อค้าขายผลไม้ ขายไข่ปิ้ง ขายไอติม เก็บขยะ เป็นต้น บางส่วนฝังตัวแบบเข้าไปเป็นอาสาสมัครช่วยงานในเวที ตั้งลำโพง เดินสายไฟ นอนเฝ้าเวที สายข่าวบางคนเดินปะปนไปกับชาวสนามหลวงมานาน จนคนทั่วไปคิดว่าเป็นโสเภณี ทั้งนี้ การข่าวมีทั้งแบบเปิดเผยและประจำการ คือ ตำรวจนอกเครื่องแบบหรือในเครื่องแบบนำรถที่มีตราโล่ตำรวจไปตั้งกล้องบันทึกภาพวิดีโอและเสียงคำปราศรัยบนเวทีจนเลิกเวทีทุกครั้ง บางครั้งจะมีคนบันทึกเก็บภาพ 360 องศา การถ่ายทอดสดด้วยกล้องวีดิโอไร้สายขนาดเล็ก การตั้งกล้องวงจรปิดบนเสาไฟ และหลังคาอาคารสูง

การทำงานของสายลับในท้องสนามหลวง ประมวลได้ว่า มีปฏิบัติการหลายรูปแบบ ได้แก่

1. วางสายลึก ฝังตัวเป็นอาสาสมัครในเวที เป็นนักรบพระเจ้าตาก เป็นอาสาสมัครช่วยงานต่างๆ และเมื่ออยู่นานไป การต่อสู้จะไว้วางใจจนถึงกับเล่าความคิดทุกด้านโดยไม่ระวังตัว

2. ตระเวนหาข่าว สอดแทรก รับฟัง ตามกลุ่มสนทนาย่อยรอบเวที มีการวางสายข่าวในพื้นที่วงใน วงกลาง และรอบนอก สายข่าวบางคน ปลอมตัวเป็นคนขายผลไม้ มีหน้าที่คอยชวนคุยหาข่าว บางวันจะไม่ขายผลไม้ เพื่อทำหน้าที่ตระเวนหาข่าวให้มากขึ้นสลับกันไป

3. รายงานข่าวภาพกว้าง เช่น จำนวนผู้มาชุมนุม เหตุการณ์ทั่วไป เหตุการณ์สำคัญ ชื่อผู้ขึ้นปราศรัย ซึ่งจะมีการประสานงานกับหัวหน้าข่าวในสนามหลวง ที่ปักหลักคอยรับรายงานและคอยส่งข่าว ในรถเก๋ง รถปิ๊กอัพ รถมอเตอร์ไซต์ ที่จอดอยู่รอบนอก และมีการประสานรายงานข่าวทุกชั่วโมงไปยังศูนย์ประมวลข่าวของแต่ละสังกัด โดยสายข่าวในสนามจะค่อยๆ ปลีกตัว ไปส่งรายงานทางวาจา แล้วหัวหน้าสายข่าวจะทำการบันทึก

4. สายข่าวแบบต่อต้านการข่าว ซึ่งทีมงานสายข่าวเหล่านี้ จะดำเนินการเชิงรุกอย่างเอาการเอางาน มีภารกิจหลักคือ ค้นหา ล้มล้าง ยับยั้ง และทำลาย เช่น เมื่อค้นพบว่าการต่อสู้เชื่อว่าศักดินาหนุนการรัฐประหาร สายข่าวก็จะปล่อยข่าวเพื่อการทำลายล้างความคิดนั้นทันที ให้การต่อสู้ไขว้เขวออกจากข่าวสารข้อมูลที่ถูกต้อง เช่น สร้างข่าวลวงว่า “การรัฐประหารที่เกิดขึ้นเป็นแผนการของขบวนการมุสลิมโลกเพราะพลเอกสนธิ บุญยรัตน์กลิน เป็นมุสลิม ” “จำลองเป็นคอมมิวนิสต์” หรือ พยายามให้เชื่อว่า“สถาบันเบื้องสูงไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง” นอกจากนี้ ยังใช้วิธีการง่ายๆ คือหยิบเอาความขัดแย้งเล็กน้อยคนในสนามหลวงด้วยกันเองหรือกับแกนนำไปขยายผลให้เกิดความขัดแย้งรุนแรงขึ้น

การปฏิบัติการของสายข่าว สายลับ หรือไส้สึก เหล่านี้ มาจากหน่วยงานการข่าวทุกหน่วย ทั้งจาก กอ.รมน. สภาความมั่นคงแห่งชาติ หน่วยงานข่าวกรอง หน่วยข่าวทางทหาร สันติบาล สายสืบตำรวจ งานการข่าวกระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานลับอื่นๆ รวมทั้งสายข่าวของพันธมิตรที่ส่งมาโดยตรง ซึ่งบางหน่วย มีเซฟเฮ้าท์ปฏิบัติการลับ เป็นหน่วยย่อย มีพาหนะ เครื่องมือจารกรรม เครื่องดักฟังโทรศัพท์ เครื่องส่งสัญญาณติดตามยานพาหนะ เครื่องมือสื่อสาร เครื่องบันทึกภาพและเสียงแบบพิเศษ เช่น กล้องแบบกระดุม แบบปากกา แว่นตา และนาฬิกา นอกเหนือจากกล้องจากโทรศัพท์มือถือ และสายลับยังมีเงินใช้จ่ายเต็มที่สำหรับติดตามเป้าหมาย ทั้งค่าอาหาร ค่าน้ำมัน ค่าที่พัก และยังมีการติดต่อซื้อข่าว ให้เงินประชาชนแบบผูกมิตรซื้อใจ จนกลายเป็นสายข่าวในสังกัดประเภท “สายลับสองหน้า” ก็มี

อย่างไรก็ตาม ประชนชนได้ตื่นตัวเรื่อง สายลับ ไส้สึก ขึ้นมาก หลังจากคนสนามหลวงถูกพันธมิตรตีตาย ในวันที่ 2 กันยายน 2551 ด้วยเหตุว่า การเคลื่อนขบวนจากสนามหลวงไปนั้น ถูกพันธมิตรตั้งขบวนจู่โจมได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีคนเห็นสายข่าวโทรศัพท์จากมุมหนึ่งของสนามหลวงรายงานว่า “ขบวนกำลังไปแล้วนะ”

นอกจากนี้ ยังมีการจับกุมสายข่าว กอ.รมน. ที่ติดตามผู้เข้าร่วมชุมนุมบางคน โดยสายลับใช้รถเก๋งโตโยต้า โซลูน่า สีบรอนซ์ ทะเบียน ภร 460 โดยผู้ถูกติดตามแจ้งให้การต่อสู้ล้อมรถและสายข่าวไว้แล้วแจ้งให้ตำรวจ สน.ชนะสงครามควบคุมตัวไปทำบันทึกประจำวัน และตรวจสอบแล้ว พบว่า รถคันดังกล่าวใช้ทะเบียนปลอม ไม่มีในสารบบของกรมการขนส่งทางบก เป็นการกระทำขึ้นอำพรางของกองบัญชาการทหารสูงสุด สายลับใช้บัตรประจำตัวไม่มียศทหารนำหน้า แต่ช่วงจะถูกควบคุมตัว สายลับพยายามยื่นบัตรประจำตัวข้าราชการทหารบก ยศพันโทให้ตำรวจ เพื่อหวังให้ตำรวจปล่อยตัว

อีกเหตุการณ์หนึ่งคือการจับกุมสายข่าวไม่ทราบสังกัดได้ เหตุเกิดเมื่อ 16 ตุลาคม 2551 ด้วยการสังเกตของผู้ที่ถูกติดตามได้สังเกตเห็นว่า มีคนใช้โทรศัพท์มือถือติดตามบันทึกภาพ จึงแจ้งให้นักรบพระเจ้าตากจับกุม จากการตรวจค้นพบโทรศัพท์มือถือและเครื่องบันทึกภาพเสียง รูปแบบต่างๆ อีกกว่า 10 เครื่อง และได้นำตัวส่งเจ้าหน้าตำรวจ สน.ชนะสงคราม ทำบันทึกประจำวันไว้
ก่อนหน้านี้ มีการสะกดรอยติดตามแกนนำ นปก. และสามารถจับตำรวจสันติบาล 2 คน หลังขับเก๋งตามติดตามนายวีระ มุกสิกพงศ์ เมื่อวันที่ 25 กค. 2550 เวลา 01.00 น. ขณะเดินทางกลับที่พักย่านทาวร์อินทร์ทาวร์ ก็ได้มีรถยนต์เก๋ง 3 คัน ขับสะกดรอยตามจนมาถึงที่พัก ซึ่งสามารถจับกุมตัว สิบตำรวจเอกสุวิทย์ แปงการิยา และดาบตำรวจจันทร์ดี ธาตุสุวรรณ ผบ.หมู่งาน 3 กองกำกับ 5 กองบังคับการตำรวจสันติบาล 2 ที่ขับรถยนต์เก๋งยี่ห้อวีออส สีบรอนซ์ทอง ทะเบียน ลต -3743 กรุงเทพมหานคร ได้ พร้อมอาวุธปืนขนาด 9 มม. ส่วนรถเก๋งอีก 2 คัน หลบหนีไปได้

การต่อสู้ของประชาชนจึงเป็นการต่อสู้ที่ดุเดือดแหลมคม และประชิดตัว เพราะต้องต่อสู้ท่ามกลางการติดตามของสายลับฝ่ายตรงข้ามแบบเงาติดตามตัว และอยู่แบบประชาชนอยู่ในที่แจ้ง สายลับอยู่ในที่มืด ซึ่งสายลับในสนามหลวงล้วนผ่านการทดสอบความจงรักภักดีต่อสถาบันกษัตริย์ พร้อมผ่านการประเมินความซื่อสัตย์ต่อสถาบันเป็นระยะ และจะต้องเป็นผู้มีฝีมือชำนาญการหาข่าวแบบ ลับ ลวง พราง รวมทั้งการประสานหรือสนธิกำลังกับหน่วยต่างๆในการติดตามบุคคล กระทั่งสามารถชี้มูลทางคดี จนนำไปสู่การออกหมายจับคดีต่างๆ เช่น ดา ตอร์ปิโด นางพญานกอินทรีย์ นายชูชีพ ชีวสุทธิ์ นายสุชาติ นาคบางไทร นายวิษณุ พรหมศร ฯลฯ เหล่านี้ ล้วนเป็นฝีมือของสายข่าวฝ่ายทหารที่ผลักดันให้ฝ่ายตำรวจรับช่วงไปดำเนินการทางคดี

ดังนั้น การต่อสู้ของประชาชนจึงขึ้นอยู่กับการเรียนรู้ การสังเกตการณ์ การโต้กลับ และการใช้ประโยชน์จากสายลับ ซึ่งการต่อสู้ได้ตระหนักในเรื่องนี้มากขึ้น สามารถจับพิรุธสายลับ เช่น ด้านการแต่งกาย ท่าทางการยืน การเดิน อุปกรณ์ประกอบ และคำพูดของสายลับ ที่จะมีความผิดปกติต่างจากประชาชนธรรมดาทั่วไป การต่อสู้จึงมีการตอบโต้ตีกลับสายลับด้วยวิธีที่เรียกว่า “ต่อต้านการข่าว” มากขึ้น เช่น เปิดเผยตัวสายข่าวในวงสนทนา การปล่อยข่าวลวงต่างๆ การตะโกนไล่สายข่าวไส้ศึกที่กำลังปราศรัยให้ลงจากเวทีและให้ออกไปจากสนามหลวง มีการส่งสัญญาณเตือนเมื่อพบสายข่าวแปลกหน้า หรือพบสายลับที่ถูกส่งเข้ามาใหม่ และเข้าจับกุมสายลับเมื่อถูกสะกดรอยตาม

ปัจจุบัน การต่อสู้มีความระมัดระวังตัวไม่ประมาทกับสายลับเหล่านี้อีก เพราะได้รับรู้เกี่ยวกับภารกิจของสายลับมากขึ้น การต่อสู้เริ่มรู้ว่าสายลับแต่ละคนได้รับการปลูกฝังจนผ่านการทดสอบความจงรักภักดี ได้รับการประเมินทัศนคติและความซื่อสัตย์มาแล้ว จึงถือว่าสายลับเหล่านี้ล้วนมาทำภารกิจของตนและเจ้านายของเขาซึ่งมิใช่ของประชาชน แม้เขาจะได้รับการเลี้ยงดูจากเงินภาษีประชาชนก็ตาม สายลับเป็นศัตรูของประชาชนโดยตรงเพราะไม่มีสายลับคนใดเข้ามาช่วยเหลือประชาชน พวกเขาเข้ามาเพื่อหาเป้าหมายและจับผิด มุ่งที่จะทำลายล้างโดยเฉพาะ ถึงกับมีผู้กล่าวว่า “เศษขยะที่สนามหลวงยังเป็นมิตรและมีประโยชน์กว่าสายลับ” ดังนั้นสายลับจึงเป็นอันตรายร้ายแรงต่อการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย เพราะพวกสายลับสามารถทำลายล้างบุคคลได้อย่างแม่นยำและมีประสิทธิภาพสูง ซึ่งพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย(พคท.)เคยเสียทีแก่สายลับจนเพลี่ยงพล้ำ ทำให้แกนนำถูกจับและองค์กรของถูกทำลายแทบหมดในปี 2530 .

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น