News online

กลับไปยังหน้าหลักเพื่อสนทนา C-Box ดู TV และฟังวิทยุ ได้ที่

วันจันทร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2555

เปิดจดหมายนักโทษผู้ใกล้ชิด “อากง” ลำดับการจากไป ในวาระครบ 1 เดือน โดย หนุ่ม แดงนนท์


ผู้เขียน: ธันย์ฐวุฒิ หรือหนุ่ม ผู้ต้องขังคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ

ชื่อเรื่องเดิม: “จากเพื่อนร่วมชะตากรรมต่างวัย ถึงเพื่อนที่ล่วงลับจากไปชื่ออำพล”

เผยแพร่ครั้งแรก: เว็บไซต์สำนักราษฎรประสงค์


ในวาระครบรอบ 1 เดือน (8 พ.ค.) การเสียชีวิตของนายอำพล หรือ อากง ‘ประชาไท’ ขอนำเสนอจดหมาย 2 ฉบับ ฉบับแรกเป็นของนักโทษคดีเดียวกันผู้คอยดูแลอากงมาแต่วันแรกของการอยู่ในเรือนจำ เขาเขียนเพื่อไว้อาลัยและต้องการให้โลกภายนอกได้รับรู้ลำดับอาการของชายชราผู้นี้ รวมทั้งนิสัยใจคอและความเป็นอยู่ที่ผ่านมา แม้จะสุ่มเสี่ยงและไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะส่งเรื่องราวเหล่านี้ออกมา

อีกฉบับหนึ่งเป็นของอดีตผู้ต้องขังคดีการเมือง ซึ่งพ้นโทษออกมาแล้วและเคยอยู่แดนเดียวกับอากง เขาสะท้อนถึงความยากลำบากในการเข้าถึงการรักษาพยาบาลในเรือนจำของผู้ต้องขัง


 ---------------------------------

 หนุ่มแดงนนท์                          

8 พฤษภาคม 2555


“อำพล ตั้งนพกุล, อำพล ตั้งนพกุล ติดต่อที่ทำการแดนครับ ปล่อยตัว!!” เสียงประกาศผ่านไมค์ดังก้องไปทั่วแดน 8 ผมร้องขอให้เพื่อนช่วยประกาศให้เพื่อปลดปล่อยดวงวิญญาณของอากงให้เป็นอิสระ ท่ามกลางความแปลกใจ ตกใจ กับการจากไปอย่างกะทันหันของชายชราคนหนึ่ง ที่พวกเขาเห็นอยู่ทุกวัน ผม หมี สุริยันต์ ไมตี้ วุฒิชัย สายชล ทองสุข รวมถึงเพื่อนๆ ของอากง เดินเกาะกลุ่มกันไปยังประตูทางออกแดน 8 ที่เป็นประตูลูกกรงหนาแน่นบานใหญ่สูงตระหง่าน เราเปิดประตูทางออกแดนอย่างช้าๆ และต่างคนต่างกล่าวคำล่ำลากันให้กับอากง “บ๊ายบายนะอาเจ็ก ค่อยๆ เดินนะ เขาให้เจ็กกลับบ้านแล้ว ป้าอุ๊คอยอยู่ตรงโน้น เจ็กไปหาเขานะ !!” ผมกล่าวออกมาเหมือนเป็นการลาครั้งสุดท้ายในความว่างเปล่า และจินตนาการไปว่า เห็นอากงค่อยๆ เดินอย่างช้าๆ ไปทางประตู 4 ที่เป็นทางออกเรือนจำ

อะไรคือสาเหตุที่ทำให้อากงจากพวกเราไปเร็วขนาดนี้นะ เมื่ออาทิตย์ก่อนพวกเรายังใช้ชีวิตด้วยกันอยู่เลย นี่คือคำถามที่ผมอยากรู้มากๆ ในตอนนั้น มันไม่น่าเกิดขึ้นได้เลย มันไม่ควรเกิดขึ้นเลยจริงๆ


ลำดับเหตุการณ์ อาการป่วย ก่อนถึงวันจากไป

ผมกับอากงและเพื่อนๆ มักจะชวนกันออกกำลังกายด้วยกันทุกเช้า ผมกับอากงเราจะแกว่งมือด้วยกัน วันละประมาณ 15-30 นาที ก่อนกินข้าวเช้า ราวๆ ต้นเดือนเมษายน อากงมาบ่นให้ผมฟังว่าแกปวดท้องน้อยบริเวณเหนือสะดือ ค่อนไปทางซ้ายหรือขวาผมจำไม่ได้ ผมเลยคิดว่าอาการน่าจะปวดกล้ามเนื้อท้องเนื่องมาจากการออกกำลังกาย ผมจึงบอกให้อากงหยุดแกว่งแขวนไปก่อนจนกว่าจะหายปวด เพราะก่อนหน้านี้ราวๆ เดือนมกราคม ก็เคยมีอาการแบบนี้ หยุดแกว่งแขนก็หาย ครั้งนี้ก็คงเหมือนกับครั้งก่อนละมั้ง อากงจึงหยุดแกว่งแขนเพื่อรอดูอาการตั้งแต่วันนั้น

1 สัปดาห์ผ่านไป อากงยังคงมีอาการเจ็บอยู่ ผมจึงให้แกทำเรื่องออกสถานพยาบาลภายในเรือนจำ (พบ.) ในวันจันทร์, 23 เมษายน แต่วันนี้อากงไม่ได้รับการตรวจ เพราะช่วงเช้าทางสมาคมทนายความมาขอพบ และป้าอุ๊มาเยี่ยมพอดี จึงทำให้ต้องเลื่อนไปในวันถัดไป

อังคาร, 24 เมษายน อากงออก พบ.แต่เช้า แต่ไม่ได้รับการตรวจใดๆ อากงบอกว่า เขาถามว่าเป็นอะไร อากงก็ตอบว่าปวดท้อง พวกเขาก็บอกกลับได้ แล้วจะจัดยาไปให้ วันนั้นอากงก็กลับมาที่แดนและได้รับยา 1 ชุดในตอนเย็น ผมไม่แน่ใจว่าเป็นยาอะไร แต่บอกว่าให้ลองกินดู ไม่หายค่อยทำเรื่องออกไปใหม่ ระยะนี้อากงก็มีลักษณะภายนอกเหมือนปกติทุกวัน กินข้าวได้ เดินเหินได้ปกติ

หลังจากกินยาชุดนี้ได้ 3-4 วัน อาการก็ยังไม่ดีขึ้น ยังคงเจ็บท้องอยู่ และมีอาการท้องใหญ่ขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย และกดดูแล้วก็แข็ง เนื่องจากอากงเป็นคนมีพุงอยู่แล้ว เลยไม่มีใครคิดว่าเป็นอาการผิดปกติ ผมจึงทำเรื่องให้อากงออกไป พบ.อีกครั้ง ในวัน จันทร์,30 เมษายน อากงเล่าให้ฟังหลังจากกลับมาจาก พบ.ว่า วันนี้พวกเขาก็ทำเหมือนเดิม คือ ถามว่าเป็นอะไร แล้วก็ไล่กลับ แต่ครั้งนี้อากงทนไม่ไหวจึงโวยวายออกไปว่า “ตรวจอั๊วด้วยสิ อั๊วเจ็บท้องหลายวันแล้ว กินยาก็ไม่หาย ไม่ตรวจดูจะรู้ได้ยังไงว่าเป็นอะไร !!” จึงทำให้อากงได้รับการตรวจ และเย็นนั้นจึงได้ยามาอีก 1 ชุด

หลังจากกินยาชุดที่สองนี้แล้ว อาการเจ็บท้องก็ยังไม่หาย และท้องก็ใหญ่ขึ้น ตึงขึ้น และแข็งมาก จนพี่สมยศทักอากงว่าเป็นอาการเกี่ยวกับตับหรือเปล่า? เพราะพี่สมยศเคยมีประสบการณ์กับโรคตับมาก่อน เมื่อได้ฟังเช่นนี้แล้ว อากงจึงเกิดอาการวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด จนอากงร้องไห้กับผมแล้วบอกว่า “ทำไมไม่หายซักที ผมแย่แล้ว ให้ผมตายเหอะ !!” พูดอยู่หลายครั้ง ผมจึงได้ปลอบใจว่าอากงไม่เป็นไรหรอกน่า เดี๋ยวอาทิตย์นี้ก็ไปโรงพยาบาลราชทัณฑ์แล้ว อดทนอีกหน่อยเถอะนะ พร้อมทั้งให้กำลังใจแกเหมือนทุกๆ ครั้งที่ผ่านมา โดยเฉพาะข่าวการช่วยแร่งรัดขออภัยโทษให้แก และเพื่อนๆ คดี 112 ทั้งหมดที่ทางคุณอานนท์มาแจ้งให้เราทราบในวัน พุธ, 2 พฤษภาคม ในวันนี้คุณอานนท์ยังทักว่าอากงดูไม่ค่อยดี ผมจึงขอให้คุณอานนท์ช่วยแจ้งอาจารย์หวาน ช่วยประสานให้อากงออกโรงพยาบาลราชทัณฑ์ (รพ.รท) โดยด่วน คุณอานนท์รับปากและได้ช่วยประสานงานให้ โดยเราเชื่อว่าที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์จะมีหมอเก่งๆ ช่วยรักษาให้อากงหายเจ็บได้

พฤหัส, 3 พฤษภาคม อากงเริ่มมีอาการทรุดลงอย่างเห็นได้ชัด และปฏิเสธโจ๊กที่พวกราสั่งซื้อให้แกกินอยู่ทุกวัน ผมจึงให้แกกินนมไวตามิลค์ เพื่อให้แกกินยา จากนั้นแกก็นอน อากาศเวลานั้นร้อนมากๆ ผมทายาหม่องให้แกที่หน้าอก หลัง คอ เพื่อให้หายใจสะดวก และคอยพัดให้แกอยู่เรื่อยๆ แกนอนรอป้าอุ๊มาเยี่ยมอย่างเช่นทุกวัน แต่วันนี้แปลกตรงที่ว่า พอมีเสียงประกาศเยี่ยมญาติของอากง ทุกทีแกจะรีบกุลีกุจอแทบจะวิ่งไปรับใบเยี่ยมญาติ แต่ครั้งนี้เราต้องพยุงแกขึ้นมา อากงหันมามองหน้าผม ทำเหมือนจะร้องไห้แล้วพูดว่า “หนุ่มไปด้วยนะ ไปกับผมด้วย ผมเดินไม่ไหว” ผมไม่เคยได้ยินคำพูดและน้ำเสียงแบบนี้ของแกมาก่อนตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันมาเกือบ 2 ปี ผมจึงขออนุญาตเจ้าหน้าที่ออกไปส่งแกที่จุดเยี่ยมญาติเพื่อพาแกมาหาป้าอุ๊ และผมได้กำชับแกโดยเขียนลงกระดาษให้แกบอกป้าอุ๊ว่าให้โทรบอกอาจารย์หวานเรื่องการส่งอากงไปโรงพยาบาลอีกครั้ง รวมถึงให้ป้าอุ๊ซื้อนมเปรี้ยวและผลไม้ที่ย่อยง่ายๆ ให้ด้วย เพราะอากงจะได้กินในช่วงที่ป่วยอยู่นี้

เยี่ยมเสร็จผมกับอากงได้เจอป้าอุ๊ไกลๆ ที่ช่องรับของฝาก ผมทำสัญลักษณ์มือที่กางนิ้วก้อยกับนิ้วโป้งและยกขึ้นข้างหู ให้ป้าอุ๊กับป้าน้อย (ภรรยาอาจารย์สุรชัย) เพื่อส่งภาษาใบ้ว่าอย่าลืมโทร (หาอาจารย์หวาน) ด้วยนะ ป้าอุ๊ก็พยักหน้าเข้าใจ แล้วผมก็ชี้นิ้วไปที่อากง แล้วโบกมือไปมาแทนความหมายว่า ไม่ต้องเป็นห่วง (อากง) นะ จากนั้นเราก็เดินกลับแดน

ใครจะรู้ว่าการพบกันในวันนั้นของอากงกับป้าอุ๊ จะเป็นการพบกันเป็นครั้งสุดท้ายของสามีภรรยาคู่นี้ที่ต่างเฝ้าประคับประคองจิตใจกันมาอย่างยาวนาน

เช้าวันศุกร์, 4 พฤษภาคม หลังจากอาบน้ำตอนเช้าด้วยกันแล้ว อากงก็หลบไปนอนในโรงอาหารอีก และไม่ยอมกินโจ๊กเหมือนเมื่อวาน ผมจึงปล่อยแกนอน โดยเตรียมนมไวตามิลค์ไวให้ วันนี้มีประกาศชื่ออากงให้ออกโรงพยาบาลราชทัณฑ์แต่เช้า ผมจึงดีใจเพราะวันนี้อากงจะได้ออกไปหาหมอเสียที เสียงประกาศชื่ออากงอีกครั้งเวลา 9.00 น. ผมปลุกแกให้ตื่นเพื่อให้แกกินนม และใส่เสื้อเพื่อเตรียมตัวไปโรงพยาบาล อากงกินได้ไม่ถึงครึ่งกล่องก็บอกว่ากินไม่ลงแล้ว ผมจึงพยุงแกลงมาจากโรงอาหาร ตอนนี้ผมสังเกตเห็นดวงตาของแกค่อนข้างเหลืองมาก ท้องก็ยังโตและแข็งอยู่เหมือนเดิม ผมขอให้อากงนั่งรถเข็นออกไปเพราะแกเดินไม่ไหวแล้ว อากงถูกเข็นออกไปอย่างช้าๆ และนี่เป็นภาพสุดท้ายที่ผมได้เห็นอากง โดยไม่เคยคิดว่าการจากกันครั้งนี้จะเป็นการจากกันตลอดไปโดยไม่ได้พบกันอีกเลย

ชายชราผู้ไม่จงรักภักดี ?

จากการพูดคุยกันตลอดเวลาที่ผ่านมา ผมยืนยันได้เลยว่าอากงไม่ใช่ทั้งเหลืองทั้งแดง ไม่สลิ่มด้วย แกเล่าให้ผมฟังว่าแกชอบไปตามงานชุมนุมต่างๆ เพราะสนุกดี และบางครั้งก็มีของให้กินฟรีๆ ด้วย แกเริ่มไปงานชุมนุมครั้งแรกก็คือชุมนุมพันธมิตร ที่แกยังได้รับแจกเสื้อเหลืองพร้อมลายเซ็นจำลอง ศรีเมือง ติดไม้ติดมืดกลับบ้านด้วย หลังจากนั้นก็ไปงานชุมนุมของเสื้อแดงที่แกก็ได้เสื้อแดง ผ้าโพกหัวกลับบ้านมา โดยไม่ต้องเสียเงินเช่นกัน อากงมักจะใช้เวลาหลังจากรับหลานๆ กลับจากโรงเรียน แล้วช่วยงานบ้านป้าอุ๊เสร็จแล้วค่อยไปงานชุมนุม เมื่อหายเบื่อแล้ว 2-3 ชั่วโมงก็นั่งรถกลับบ้าน

อากงไม่มีพื้นฐานความรู้ทางการเมืองใดๆ เลย อยู่บ้านทีวีเสื้อแดงก็ไม่รู้จัก ไม่เคยเปิดดู หนังสือพิมพ์ก็ไม่อ่าน เพราะสายตาไม่ดี ลำพังแค่เลี้ยงหลานอย่างเดียวก็หมดเวลาแล้ว ดังนั้น เวลาพวกผมคุยกันเรื่องการเมืองแกจะตั้งใจฟัง แล้วมีคำถามมาถามเราอยู่บ่อยๆ

ที่น่าสนใจคือ กับข้อหาที่แกโดนข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ กับการกระทำโดยธรรมชาติของแกมันขัดแย้งกันมาก เช่น แกจะยกมือไหว้พระบรมฉายาลักษณ์ของในหลวงที่ตั้งอยู่ที่แดน 8 ทุกครั้งที่เดินผ่าน ผมแน่ใจว่าแกทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ อีกทั้งเรื่องที่อากงเล่าให้ฟังว่า แกพาหลานๆ ของแกไปลงนามถวายพระพรในหลวงที่ศิริราชอยู่หลายครั้ง เวลาไปช็อปปิ้งกับหลานๆ แล้วเห็นโต๊ะที่เปิดให้มีการลงนามถวายพระพร ตามห้างสรรพสินค้าต่างๆ อากงจะชวนหลานๆ ร่วมลงนามถวายพระพรทุกครั้ง ผมจึงแทบไม่เชื่อว่าชราคนนี้จะถูกกล่าวหาไม่จงรักภักดีต่อสถาบัน

บุคลิกลักษณะภายนอกของอากง ใครเห็นก็จะรู้ว่าเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน ยิ้มเก่งไหว้เก่ง และที่ชัดที่สุดคือ ร้องไห้เก่ง โดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่าอากงเป็นคนอ่อนแอทางจิตใจมากคนหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่แกถูกจับเข้ามาอยู่ในคุก แกยิ่งแสดงออกให้เห็นอย่างชัดเจน ช่วงแรกที่อากงถูกจับเข้ามาและได้รับการประกันตัวออกไป แตกต่างจากครั้งที่แกถูกจับเข้ามาอีกครั้งมากในเรื่องกำลังใจ ผมว่าแกโชคดีที่มีพวกเราหลายคนคอยให้กำลังใจแกอยู่ตลอดเวลา นอกจากคนที่โดนคดีเสื้อแดงแล้วอากงยังได้รับความรักและเขาใจจากผู้ต้องขังอื่นๆ ด้วย เป็นเรื่องจริงที่ผมมักจะบอกกับอากงว่า แกเหมือนเป็นพวกแบตเตอรี่เสื่อม เวลาห่อเหี่ยว ท้อแท้ เราคุยให้กำลังใจแก แกก็จะกลับมายิ้ม และชูกำปั้น “สู้” ได้อีกครั้ง แต่พอผ่านไปไม่ถึงชั่วโมงแกก็จะนั่งหน้าเศร้าอีก เราเลยต้องชาร์จกันใหม่ๆ เรื่อยๆ ผลัดกัน ช่วยกันไป พวกเราต่างคิดว่าอากงเป็นญาติพี่น้องของเราจริงๆ ดังนั้น เราจึงดูแลกันด้วยดีตลอดมา

อากงจึงอยู่ในคุกได้ด้วยกำลังใจล้วนๆ กำลังใจหลักคือมาจากป้าอุ๊ รองลงมาคือจากพวกเรา เพื่อนๆ ที่อยู่ร่วมแดนกันและกำลังใจจากมวลชนที่แวะเวียนมาให้กำลังใจ นึกไม่ออกเลยว่า 4 วัน 4 คืนในโรงพยาบาลราชทัณฑ์ที่ขาดซึ่งกำลังใจใดๆ เลย อากงจะทนทุกข์ทรมานมากเพียงใด และเป็นไปได้หรือเปล่าที่สาเหตุของการจากไปอย่างกะทันหันของแก ส่วนหนึ่งมาจากการขาดกำลังใจ......

ความอยุติธรรมของเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์บางคนที่มอบให้กับอากง
โดยอ้างว่าตัวเอง “รักเจ้า”


ผมคิดอยู่หลายรอบว่าจะเขียนเรื่องนี้ดีหรือเปล่า ท้ายสุดก็คิดว่าควรต้องเขียน เพราะมันคือความจริงที่เกิดขึ้นกับอากง จากการตั้งใจกลั่นแกล้งของเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์บางคนในช่วงที่ข้อหาล้มเจ้าของคนเสื้อแดงกำลังถูกโหมโรงจากสื่อกระแสนหลักอย่างกว้างขวาง ผู้ต้องหาคดีหมิ่นฯ หลายคนจึงตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกัน คือการโดนข่มขู่ ทำร้ายร่างกายหรือจิตใจ และถูกกลั่นแกล้งต่างๆ นานา ไม่ยกเว้นชายชราหรือ “อากง” คนนั้น ซึ่งผมและสุริยันต์ คือหนึ่งในนั้นตามข่าวที่ปรากฏไปบ้างแล้วจากสื่อทางเลือก เรื่องนี้ผมจึงคิดว่าจำเป็นอย่างยิ่งที่คนภายนอกจะได้รู้ว่าอากงโดนปฏิบัติอย่างไรบ้าง (ผมขอรับผิดชอบในสิ่งที่ผมเขียนทุกคำ พร้อมให้ตรวจสอบ)

แต่ก่อนอื่นผมต้องขอออกตัวก่อนว่า ปัจจุบันแดน 8 เป็นแดนที่ดีที่สุด แตกต่างจากแต่ก่อนฟ้ากับเหว เพราะได้มีการเปลี่ยนตัวหัวหน้าฝ่ายคนใหม่ที่เป็นนักพัฒนาที่มีความเป็นกลาง มีความยุติธรรมกว่าคนเดิมที่ผมจะเล่าถึงการกระทำของเขาที่กระทำต่ออากง ซึ่งมีเรื่องราวดังนี้

อากงถูกจำแนกเข้ามาที่แดน 8 ภายหลังที่ผมและสุริยันต์โดนทำร้ายร่างกายด้วยความตั้งใจของหัวหน้าฝ่ายคนเก่าไปแล้ว และนอกจากผู้ต้องขังคดีหมิ่นฯ จะโดนทำร้ายแล้ว ผู้ต้องหาคดีเสื้อแดงที่ตอนนั้นถูกจับเข้ามา ถ้าถูกจำแนกมาแดน 8 ก็จะโดนเก็บยอดทุกคนโดยการตบต่อยที่ใบหน้า ร่างกาย จากนักโทษที่ได้รับสัญญาณมา และถูกด่าอย่างหยาบคายว่าเป็นพวกเผาบ้านเผาเมือง แต่อากงโชคดีที่เป็นคนแก่จึงได้รับการยกเว้น ไม่ถูกประทุษร้ายทางร่างกาย แต่ถูกกลั่นแกล้งให้ทำงานอย่างหนักแทน

ด้วยภาพของอากงและวัยที่มากแล้ว โดยมนุษยธรรมและความเมตตา ควรได้รับการยกเว้นให้ทำงานอย่างคนหนุ่มเขาทำกัน แต่อากงคือผู้ที่ถูกเลือกด้วยความตั้งใจให้มาอยู่แดน 8 ของหัวหน้าฝ่ายคนก่อน (ที่ปัจจุบันย้ายไปประจำอยู่ใต้ถุนศาลรัชดา) เพื่อสะดวกในการทำอะไรบางอย่าง

วันแรกที่เข้ามาอากงถูกสั่งให้เข้าไปอยู่ในกองงานปั่นถ้วย และรับยอดเติมในทันที คือวันละ 5 กิโล หรือ 2,500 ใบ อากงทำไม่ได้แน่นอน แต่ก็ถูกบังคับให้ทำ จนผู้ต้องขังด้วยกันทนไม่ได้ต่างเข้ามาช่วยแบ่งงานอากงไปทำ คนละนิดคนละหน่อยจนเสร็จ อากงต้องทำงานอย่างนี้มาโดยตลอดจนกระทั่งประกันตัวออกไปในครั้งแรก

อากงกลับเข้ามาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้หัวหน้าฝ่ายคนนี้คงเข็ดที่จะเอาคดี 112 มาไว้อีก อากงจึงถูกจำแนกไปแดน 3 โดยหวังว่าจะแยกผมออกจากอากง ปรากฏว่าด้วยความเหลือจากผู้ใหญ่ข้างนอกโดยผ่านคุณอานนท์ จึงทำให้อากงถูกย้ายมาอยู่แดน  8 กับผมอีกครั้ง ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับหัวหน้าฝ่ายคนนี้อย่างมาก อากงจึงถูกคำสั่งให้ไปปั่นถ้วยอีก แล้วครั้งนี้ก็เหมือนเดิม ผู้ต้องขังก็ช่วยเหลืออากงเหมือนเดิม เพราะทนเห็นการถูกกลั่นแกล้งของหัวหน้าฝ่ายไม่ได้ ท้ายสุดแล้ว ด้วยความช่วยเหลือจากผู้ใหญ่โดยผ่านคุณอานนท์เช่นเดิม จึงมีคำสั่งสายฟ้าแลบให้ย้ายอากงมาอยู่กองงานห้องสมุด โดยไม่ต้องให้แกทำอะไรเลย งานนี้ทำให้หัวหน้าฝ่ายคนนี้เสียหน้าอย่างมากทีเดียว เพราะไม่สามารถทำอะไรได้ตามอำเภอใจอีกแล้วกับคนเสื้อแดง

หากการเสียชีวิตของอากง เลขาอภิสิทธิ์ ผู้พิพากษา ตำรวจผู้จับกุม ควรต้องรับผิดชอบแล้ว หัวหน้าฝ่ายควบคุมแดน 8 คนนี้ (ที่ไม่ใช่คนปัจจุบัน) ก็ควรต้องถูกประณามด้วยเช่นกัน

สุดท้ายนี้ ผมขอไว้อาลัยกับการจากไปของเพื่อนต่างวันของผมคนนี้ที่ผมรักและห่วงใยเสมือนญาติแท้ๆ ของผมคนหนึ่ง แน่นอนการจากไปของเขาจะต้องไม่เสียเปล่า ขอให้อากงหรืออาเจ็กที่ผมเรียก อย่าได้เป็นห่วงผมและเพื่อนๆ ทุกคนจะทำหน้าที่แทนอาเจ็กเองในการดูแลป้าอุ๊และหลานๆ ที่น่ารักของอาเจ็กให้มีความสุขตลอดไป และหากชาติหน้ามีจริงขอให้เราได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง...ผมรักเจ็กนะครับ!! ขอให้เจ็กหลับให้สบายและอย่าได้กังวลอะไรอีกเลย.








ที่มา prachatai

วันศุกร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2555

อดีตนักโทษการเมือง ร่วมแดน "อากง" ร่อนจดหมายเปิดผนึก "พาราเซตามอล" ยาวิเศษของคนคุก อัดมาตรฐานการรักษาพยาบาลในเรือนจำพิเศษกรุงเทพ

ครบรอบ 1 เดือน การสูญเสีย "อากง" จากมาตรา 112
อดีตนักโทษการเมือง ร่วมแดน"อากง" ร่อนจดหมายเปิดผนึก

"พาราเซตามอล" ยาวิเศษของคนคุก อัดมาตรฐานการรักษาพยาบาลในเรือนจำพิเศษกรุงเทพ

ทีมงานขอสวงนชื่อและนามสกุล

กระผม อดีตนักโทษชายเรือนจำพิเศษกรุงเทพ เป็นผู้หนึ่งซึ่งได้ร่วมชะตากรรมกับอากง ในเวลาที่ผมใช้ชีวิตในนั้น ได้เห็นการให้การรักษาพยาบาลในเรือนจำ ซึ่งจะมียาวิเศษอยู่หนึ่งตัว ชื่อ พาราเซตาม่อน ซึ่งยาขนานนี้ใช้รักษาโรคได้ทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็น ปวดท้อง ท้องเสีย หรือแม้กระทั่งเบาหวานหรือโรคหัวใจ

ซึ่งหลังจากขึ้นเรือนนอนแล้ว ถ้านักโทษเจ็บป่วย อาการหนัก รับรองได้ว่า รุ่งเช้าจะได้ยินเสียง"ประกาศปล่อยตัว"อย่างเช่นอากงแน่นอน ซึ่งการปล่อยตัวจะเป็นไปอย่างพิเศษมากๆ คือคุณไม่ต้องเดิน แต่ต้องลอยตามกลิ่นธูปออกมา

ในช่วงที่กระผมได้อยู่ในเรือนจำนั้น เคยมีนักโทษสูงอายุ น่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับอากง แกเป็นคนใต้ แกป่วยอยู่หลายโรค ซึ่งหลังจากขึ้นเรือนนอนแล้ว ประมาณสองทุ่มกว่าๆ ได้มีเสียงเคาะ ซึ่งเป็นสัญญาณว่ามีคนป่วยอยู่ในห้อง ซึ่งอาการของลุงคนนั้น ผมไม่แน่ใจว่าเป็นโรคหอบหืดหรือว่าโรคหัวใจ ซึ่งกว่าที่ผู้คุมจะขึ้นมาก็ประมาณ 10 นาที และก็ให้ยาพาราเป็นขั้นแรก หรือว่าก็ให้รอหมอแป๊ปหนึ่ง ก็ประมาณ 30 - 60 นาที แต่พอหมอมาถึง คุณลุงคนนั้นก็ได้เสียชีวิตแล้ว แต่ผมไม่แน่ใจ ว่าเป็นผู้คุมหรือหมอ ที่ออกปากถามว่า ตายหรือยัง ทั้งๆที่ยังไม่ถึงประตูห้อง

คุณลุงคนนี้ถูกขังอยู่ที่ห้อง 10 ซึ่งห้อง 10 จะอยู่ชั้น 2 แต่ผมอยู่ชั้น 3 จึงมองไม่เห็น ซึ่งห้องเบอร์ 10 นี้ คุณก่อแก้ว และคุณขวัญชัย ก็เคยอยู่ ถ้าคิดจะออกไปพบหมอ ถ้าเป็นชาวต่างด้าว หรือบุคคลไร้ญาติ ก็ยากหน่อย ก็จะได้คำตอบว่า "กินพารา เดี๋ยวก็หาย" เมื่อมาถึงหมอ ก็จะเป็นอีกแบบหนึ่ีง คือ ถ้าคุณไม่ได้ถูกหามออกมาในสภาพหมดสติ ก็หมดสิทธิที่จะนอนรอดูอาการ ก็ต้องกลับไปนอนซมอยู่ในแดนตามเดิม

นี่หรือ ที่คุณบอกว่ามาตรฐานไม่ต่างกัน...?

อนึ่ง ข้อมูลประกอบเคสอากง จากปากป้าอุ๊(ภรรยาอากง)
ป้าอุ๊เล่าว่า ครั้งหนึ่งเคยมีหมอมาตรวจสุขภาพ เพราะอากงแกบ่นปวดท้อง ขาซ้ายไม่ค่อยมีแรง หมอให้อากงยื่นมือออกมาให้ตรวจ จับๆมืออากงพลิกไปพลิกมา แล้วถามอากงว่า "คันมั๊ย มือเนี่ย?" อากงก็งงๆกับคำถามของหมอคนนั้น แล้วหมอก็พูดต่อว่า "ก็นี่แหล่ะนะ มือมันบอน มือมันคัน มันอยู่ไม่สุข ก็เลยต้องมาติดคุกนี่ไง.."

อากงมีอาการขาอ่อนแรง และปวดท้องมาเป็นเวลาหลายเดือนแล้ว ก่อนจะถูกขังแบบไม่ให้ประกัน อากงเพิ่งผ่าตัดมะเร็งที่ลำคอเสร็จสิ้น อาการค่อนข้างโอเคแล้ว อยู่ในช่วงเฝ้าระวังและต้องตรวจสุขภาพกับแพทย์อย่างเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ
แต่มะเร็งตับระยะที่ 4(ระยะลุกลาม) ที่ทำให้เกิดภาวะเสียสมดุลย์ในร่างกาย จนอากงช็อค จนเสียชีวิตนั้น มะเร็งตัวนี้ไม่เคยถูกตรวจพบในร่างกายอากงมาก่อน หรือเรียกง่ายๆว่า เรือนจำไม่เคยมีการตรวจสุขภาพอากงอย่างจริงจังมาก่อน ตลอด 481 วันที่อากงถูกจองจำ

การรักษาพยาบาลในเรือนจำ ตลอดเวลาที่อากงถูกคุมขัง เป็นไปอย่างยากลำบาก ปวดท้องหนักขนาดไหน ไปขอยา ก็จะได้แต่พารา ยาแก้ท้องอืดท้องเฟ้อ จนครั้งสุดท้าย ป้าอุ๊ไปเยี่ยมอากง อากงบอกปวดมาก ไม่ไหวแล้ว ให้ป้าอุ๊ช่วย จึงติดต่อผ่านทางอ.หวาน ช่วยดำเนินเรื่องไปที่กรมราชทัณฑ์ อากงจึงมีโอกาสได้เข้ารักษาในโรงพยาบาลราชทัณฑ์ในวันต่อมา...

การเจาะเลือดอากงไปตรวจว่าเป็นอาการของโรคอะไร เพิ่งกระทำเพียง 1 วัน ก่อนอากงจะเสียชีวิต

และที่น่าเจ็บใจไปกว่านั้น คุณหมอที่เข้าร่วมชันสูตรศพอากง(คุณหมอพงษ์ศักดิ์) ระบุว่า มะเร็งชนิดนี้ เป็นชนิดที่ตรวจพบเจอได้ง่ายที่สุด ด้วยการอัลตร้าซาวด์เท่านั้น...

และที่น่าเจ็บใจที่สุด... คนแก่อายุปูนนี้ สภาพร่างกายแบบนี้ ดุลยพินิจใดของศาล ถึงไม่ให้ประกัน ...หรือเพราะเห็นอากงเป็นภัยต่อ"ความมั่นคงของชาติ"ตามมาตรา 112 กันจริงๆ อย่างนั้นหรือ ?

ที่มา fb Nithiwat Wannasiri 


...........................................


เตือนจากอย. ผู้ใช้ยาแก้ปวดพร่ำเพรื่อ โดยเฉพาะ "พาราเซตามอล" ไม่เชื่อ ถึงขั้นเสียชีวิตได้ !!


อย. เตือน ผู้บริโภคอย่าใช้ยาแก้ปวดพร่ำเพรื่อ เพราะหากใช้ไม่ถูกต้องจะทำให้ไม่สามารถบรรเทา หรือรักษาอาการปวดได้เลย อาจได้รับอันตรายจากผลข้างเคียงของยา พร้อมแนะ วิธีเลือกใช้ยาแก้ปวดอย่างถูกต้องหากไม่เข้าใจปรึกษาเภสัชกรก่อนใช้ เพื่อความปลอดภัยจากการใช้ยา


นพ.พงศ์พันธ์ วงศ์มณี รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า จากข้อมูลการใช้ยาแก้ปวดของคนไทย พบว่า มีการใช้ยาแก้ปวดกันอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะ “พาราเซตามอล” ซึ่งส่วนใหญ่มักเข้าใจว่าเป็นยาแก้ปวดสามารถรักษาได้ทุกอาการปวด ในความเป็นจริงแล้ว สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ขอเตือนว่าเป็นความเข้าใจผิด เนื่องจากยาแก้ปวดแต่ละชนิดมีประสิทธิภาพในการรักษา และความปลอดภัยในการใช้ยาแตกต่างกัน

โดยทั่วไปแบ่งยาแก้ปวดออกเป็น 2 กลุ่ม คือ
กลุ่มยาแก้ปวดที่ใช้ระงับปวดที่รุนแรงถึงรุนแรงมากที่สุด แต่ไม่มีฤทธิ์ลดไข้ เช่น มอร์ฟีน (morphine) ทรามาดอล (Tramadol) ยากลุ่มนี้จะออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลาง ใช้ระงับความเจ็บปวดที่รุนแรงจากอวัยวะภายใน เช่น ปวดนิ่วในไต ปวดกล้ามเนื้อหัวใจจากภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ปวดจากบาดแผลที่มีขนาดใหญ่ เช่น หลังการผ่าตัด การคลอดลูก โรคมะเร็ง จึงมักใช้กับคนไข้ในโรงพยาบาลหรือคลินิกเป็นส่วนใหญ่ ยากลุ่มดังกล่าวอาจก่อให้เกิดอาการข้างเคียงสูง โดยเฉพาะ ทรามาดอล (Tramadol) ซึ่งจะทำให้มีอาการคลื่นไส้ มึนงง อาเจียน กดระบบหายใจ อีกทั้งยังอาจมีอาการทางจิตประสาท เช่น อารมณ์แปรปรวน เฉื่อยชา ไม่กระตือรือร้น และหากได้รับยาเกินขนาด จะทำให้เกิดภาวะอื่น ๆ ตามมา เช่น อาเจียน ระบบหัวใจและหลอดเลือดล้มเหลว ชักและระบบหายใจทำงานช้าลงจนถึงขั้นหยุดหายใจได้


รองเลขาธิการฯ อย. กล่าวต่อไปว่า ส่วนยาแก้ปวดอีกกลุ่ม คือ
กลุ่มยาแก้ปวดที่ใช้สำหรับอาการปวดไม่รุนแรง เช่น พาราเซตามอล แอสไพริน ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (Non-steroidal anti-inflammatory drugs : NSAIDs) ซึ่งมีฤทธิ์แก้ปวด ลดไข้ และต้านการอักเสบ แต่ไม่ควรใช้ติดต่อกันนาน ๆ โดยเฉพาะยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) เนื่องจากจะมีผลต่อระบบต่าง ๆ ในร่างกาย ได้แก่ ระบบทางเดินอาหาร ทำให้คลื่นไส้ ปวดท้อง เป็นแผลบริเวณทางเดินอาหาร , ระบบหัวใจและหลอดเลือด ทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น อาจรุนแรงทำให้กล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน หลอดเลือดสมองอุดตัน , ระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้ง่วงซึม มึนงง ซึมเศร้า , ระบบเลือด จะขัดขวางการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือด , มีผลต่อการทำงานของไตโดยทำให้ไตบวม ระดับโปตัสเซียมและโซเดียมในเลือดสูงและไตวาย และมีผลต่อผิวหนัง โดยมีอาการผื่น คัน ผิวหนังพอง บางรายอาจมีการแพ้แสงแดดอีกด้วย


นอกจากนี้ ยาพาราเซตามอลที่มีการใช้อย่างแพร่หลายนั้น หากใช้ยาเกินปริมาณที่แนะนำอาจจะนำไปสู่การเกิดพิษต่อตับ จนนำไปสู่ภาวะตับวาย และเสียชีวิตในที่สุด


รองเลขาธิการฯ อย. กล่าวในตอนท้ายว่า ขอให้ประชาชนผู้บริโภคใช้ยารักษาอาการปวดอย่างถูกต้องโดยใช้ยาตามวิธีใช้ที่ระบุบนฉลากยาอย่างเคร่งครัด ห้ามใช้ยาเกินขนาด ใช้บ่อยกว่า หรือใช้เป็นระยะเวลานานกว่าที่ระบุไว้บนฉลาก หรือเอกสารกำกับยา หรือแพทย์สั่ง เพราะอาจทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย หรือเสียชีวิตได้ รวมทั้งไม่ควรดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ระหว่างการใช้ยาแก้ปวด เพราะอาจเพิ่มอาการข้างเคียงของยามากขึ้น ทั้งนี้ หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการใช้ยา ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยา  

ที่มา matichon

สัมภาษณ์ : พ่อ ‘ธันย์ฐวุฒิ’ ผู้ต้องขังคดีหมิ่นฯ



นายชีเกียง วัย 74  ปี บิดาของนายธันย์วุฒิ เดินทางมาเยี่ยมลูกชายที่เรือนจำพร้อมให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับครอบครัว ความรู้สึก และความคาดหวังต่อการขอพระราชทานอภัยโทษ

“พูดในนามพ่อของลูกคนหนึ่ง ตอนที่ลูกถูกจับมีอาการแย่มากเลย เคว้งคว้างไปหมด ไม่รู้จะทำยังไง”

“ญาติพี่น้องเขาก็กลัว ไม่กล้าเลย ไม่มีใครกล้ามาเยี่ยมเลย แม้แต่พี่น้องของหนุ่มเองก็ไม่กล้า แม่เขาก็กลัว แต่เรามันกลัวไม่ได้ เพราะเราเป็นพ่อ จะกลัวได้ไง ลูกคนหนึ่งติดคุกอยู่”

“มันก็แย่มากขนาดเราขอประกันไป เที่ยวนี้เที่ยวที่หกที่เจ็ดแล้วมั้งก็ไม่ได้นะ”

“ตกใจ หมดแรงเลย โฮ ข่าวก็ออกมาหราเลย ธันย์ฐวุฒิ โดนตัดสินคดีหมิ่น 13 ปี ตอนนั้นหมดแรงเลย จริงๆ ตอนแรกๆ เราก็อยากให้เขารับสารภาพ บอก เออ ถึงไม่ได้ทำก็รับสารภาพไปเถอะอย่างน้อยมันก็ได้ลดครึ่งนึง”

“อย่าให้ถึง 13 ปีเลย  13 ปี แย่เลย แล้วเราจะอยู่ถึงเหรอ 13 ปี นี่ปีนี้ก็ 74 แล้ว อีก 13 ปี ก็ 80 กว่าคงไม่ไหว อยากจะออกมาเจอลูกก่อน อยากให้ลูกบวช”




ข้อมูลเบื้องต้น

ชื่อ : ธันย์ฐวุฒิ  (ขอสงวนนามสกุล)

ที่อยู่ : เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร แดน 1

ระยะเวลาที่ถูกคุมขัง : 2  ปี  2 เดือน

ถูกจับกุม :
1 เมษายน 2553 


(ขังตั้งแต่วันจับกุม ยื่นประกันรวม 6-7 ครั้ง ศาลยกคำร้อง)

พิพากษา : 15 มีนาคม 2554 จำคุก 13 ปี
ฐานความผิด :
-มาตรา 112 ประมวลกฎหมายอาญา

-พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550

                                    มาตรา 14 (3) 

ผู้ใดกระทําความผิดที่ระบุไว้ดังต่อไปนี้ ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ (3) นําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใด ๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคง แห่งราชอาณาจักรหรือความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา

                                    มาตรา 15

ผู้ให้บริการผู้ใดจงใจสนับสนุนหรือยินยอมให้มีการกระทําความผิดตามมาตรา 14 ในระบบคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในความควบคุมของตน ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับผู้กระทําความผิดตาม มาตรา 14



ข้อกล่าวหา :

-เป็นผู้ดูแลระบบ เว็บไซต์ นปช.ยูเอสเอ และ นปช.ยูเอสเอ 2

-มีการโพสต์ข้อความเข้าข่ายความผิด ม. 112  รวม 3 ข้อความ (เป็นไฟล์ภาพ) โดยถูกกล่าวหาว่า “admin” โพสต์เอง 2 ข้อความ ผู้อื่นโพสต์แต่ไม่ลบ 1 ข้อความ

-เหตุเกิด 13 มีนาคม 2553 ซึ่งเป็นวันหลังจาก นปช.หรือกลุ่มคนเสื้อแดงนัดชุมนุมใหญ่ในวันที่ 12 มีนาคม 2553 ก่อนจะเกิดเหตุการณ์ความรุนแรง การสลายการชุมนุมในเดือนถัดๆ มา (เมษายน-พฤษภาคม 2553)

-อ่านรายละเอียดคดีและประเด็นการต่อสู้คดีได้ที่

http://freedom.ilaw.or.th/th/case/19#detail

สถานะคดี :
-ยื่นอุทธรณ์ และทนายจำเลยถอดอุทธรณ์ เมื่อเดือนเมษายน 2555 จนถึงปัจจุบัน

-ยังไม่มีจากคำสั่งศาลอุทธรณ์ให้คดีเป็นที่สิ้นสุด


สถานภาพก่อนถูกจับ : หย่าร้าง เลี้ยงดูบุตรชาย 1 คน วัย 10 ปี (ขณะถูกจับ) เพียงลำพัง


อาชีพก่อนถูกจับ : รับจ้างออกแบบเว็บไซต์


หมายเหตุ : -ชื่อของธันย์ฐวุฒิ ปรากฏอยู่ใน “ผังล้มเจ้า” ที่จัดทำขึ้นโดย ศอฉ.
 
-ข้อสังเกตต่อคำพิพากษา
เครือข่ายพลเมืองเน็ต: ข้อสังเกตต่อคำพิพากษาคดีผู้ออกแบบเว็บ นปช.ยูเอสเอ
 
-ประวัติความคิดทางการเมืองของธันย์ฐวุฒิ
เสียงจากนักโทษคดีหมิ่นฯ: ประวัติชีวิตบนเส้นทางสายแดง “ผิดด้วยหรือที่เลือกยืนฝั่งนี้” (1)

เสียงจากนักโทษคดีหมิ่นฯ: เส้นทาง ‘นักรบไซเบอร์’ และคำถามถึงคนชั้นกลาง (2)

ที่มา prachatai

วันศุกร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ทักษิณยังไม่สำนึกและไม่ยอมขอโทษคนเสื้อแดง



โดย วิญญาณวีรชน 


เมื่อทักษิณวีดิโอลิ้งค์ วันที่ 30 พ.ค. 2555 ที่งานพ้นโทษ ของกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย บ้านเลขที่ 111  “ยังไม่ยอมขออภัยคนเสื้อแดง”

ในกรณีที่กล่าวดูถูกวีรชนและญาติที่สูญเสียให้เสียสละโดยบีบคั้นให้รับเงินแล้วไม่เอาผิดฆาตกร ทักษิณแก้ตัวว่าสัญญาณเสียงไม่ดีจึงพูดไม่ครบ ทำให้คนเข้าใจผิด มีคนเสี้ยม (โทษคนฟัง) และไม่ครบทุกประเด็น

ทักษิณกล่าวโกหกว่าศักดินาและเปรมไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง กล่าวทั้งขณะอยู่ที่เขมร (ช่วงสงกรานต์) และงานรำลึกวีรชน ราชประสงค์ 19-05-55 คำโกหก ปลิ้นปล้อนและสับปลับเช่นนี้  “ทักษิณมิได้ขออภัยคนเสื้อแดงแต่อย่างใด”


ทักษิณบอกว่า “ถ้าตนได้กลับไทยแล้ว ตนจะพาเสื้อแดงเป็นพลังทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรม” 

ทักษิณไม่ยอมกล่าวว่าต้องการพาคนเสื้อแดงเป็นพลังขับเคลื่อนทางการเมือง เพราะทักษิณยืนยันในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข 

โดยทักษิณหลอกคนเสื้อแดงว่าจะให้ประชาชนเป็นศูนย์กลาง 2 เรื่อง คือ
1. ให้ตุลาการ รัฐบาลและนิติบัญญัติ  ยึดโยงประชาชน 
2. ประชาชนเป็นผู้ให้นโยบายนักการเมือง

ซึ่งคำพูดดังกล่าว “มันขัดแย้งกับระบอบที่ทักษิณกล่าวยกย่อง" ทักษิณเอาใครเป็นศูนย์กลางกันแน่ ถ้าดูคำพูดและพฤติกรรมการขนเงินทองไปอวย ให้แก่ฝ่ายศัตรูประชาชนเสมอมา ย่อมคือ สิ่งที่ยืนยันว่า ทักษิณมิได้ให้ประชาชนเป็นศูนย์กลางจริง มีแต่ปากเท่านั้น” แม้แต่การปองดอง ทักษิณยังไม่สอบถามปรึกษาหารรือคนเสื้อแดงสักคำ

และที่สำคัญ ทักษิณไม่เคยเห็นหัวประชาชนว่าสามารถขับเคลื่อนการเมืองและประชาธิปไตยได้จริงๆเลย มีแต่ให้ ”หยุดรอ” เพื่อรับฝีมือการบริหารระบอบทุนนิยมผูกขาดที่ตนชำนาญ และทักษิณอ้างว่าตนไม่ลืมบุญคุณคนแม้ให้น้ำเปล่าดื่มแก้วเดียวก็ไม่ลืม เพราะทักษิณมีความสามารถหาเงินแจกคนจนได้ครบแน่

นี่คือ ทัศนะของชนชั้นนายทุนที่ทนงตนคิดว่าโภคทรัพย์ที่ตนหาได้คือฝีมือตนเอง   โดยไม่สำนึกเลยแม้แต่น้อยว่า "ความมั่งคั่งมาจากแรงงานคนจน" (คนจนที่ถูกปล้นชิงจากศักดินาจากอดีตจนถึงปัจจุบัน) ทักษิณไม่คิดจะปกป้องระบบการปล้นชิงเลย 

ทักษิณให้ลืมความเจ็บช้ำ อย่าย้อนอดีต นี่คือคำพูดของคนสารเลวคนนี้ และแม้ในปัจจุบันที่คนจนสร้างโภคทรัพย์และต้องการเอาทรัพย์ในอดีตและปัจจุบันคืนจากทุนผูกขาดศักดินา ทักษิณก็กลับพูดดูหมิ่นว่า คนเสื้อแดงที่เคลื่อนไหวทางการเมืองคือคนไม่มีทรัพย์ “ย่อมต้องมาเอา ไม่เสียสละ

ทักษิณเข้าใจว่าตนร่ำรวยแล้ว พอแล้ว มาเล่นการเมือง “เพื่อให้” ซึ่งไม่จริง  “เพราะความร่ำรวยของทักษิณและครอบครัวคือการกดขี่ขูดรีดและคอรัปชั่นผลผลิตและแรงงานคนจนภายใต้ระบอบทุนสวามิภักดิ์ต่อศักดินา”

ระบอบประชาธิปไตยที่ปราศจากศักดินาเหนือรัฐ  และการยึดทรัพย์ศักดินาคืนสู่สังคม พร้อมกับการสร้างกลไกสภาประชาชน สภาอาชีพ และสมัชชาผู้แทนต่างหากที่จะเป็นหลักประกัน ความอยู่ดีกินดี หาใช่ต้องรอทักษิณ “สุนัขรับใช้” คนนี้

ทักษิณเป็นได้พียงสุนัขบาดเจ็บที่รับใช้ศักดินา ที่ "แม้จะถูกเฆี่ยนตีจากเจ้าของเพียงใด มันก็เพียงร้องโหยหวนและยอมตาย หาใช่ต้องสู้แบบสุนัขจนตรอกไม่”

ทักษิณเสียเปรียบศักดินาไม่กี่คนแต่ได้เปรียบคนไทยอีกหลายสิบล้านคน ทักษิณมีทางออก มีทางหากิน ทักษิณจึงไม่กล้าเสียสละเปลี่ยนโครงสร้างสังคม เพราะทักษิณกลัวไม่ได้มั่งคั่ง ทักษิณดูถูกคนจนที่มาต่อสู้ว่า “มาเพื่อเอาประโยขน์”

ดังนั้น ทักษิณสุนัขรับใช้คนนี้ จึงให้โอวาทแก่ อดีตกรรมการพรรค 111 คน ที่เปรียบได้กับ “สุนัขขี้เรื้อน” ที่ถูกถีบ ถูกตี ถูกตัดสิทธิ์ แต่คนเหล่านั้นก็มิได้คิดต่อสู้เพื่อเปลี่ยนโครงสร้างสังคมเลย เพราะคนเหล่านั้นมีทางเลือกที่จะรอรับใช้ศักดินา เพื่อความอยู่ดีกินดีของคนเหล่านั้น เพราะคนเหล่านั้นมีฐานะเหนือประชาชน

อย่าหวังว่า ทักษิณจะทดแทนบุญคุณประชาชน เพราะขนาดศักดินาที่หาความดีและบุญคุณมิได้ ทักษิณยังเลือกข้างศักดินา และมารังแกประชาชน ทั้งเอาภาษีไปประเคนให้ศักดินา ทรยศตำตาและหน้าด้านเป็นที่สุด